NER ตั้งเป้ารายได้ปี 65 แตะ 2.8 หมื่นลบ. ดีมานด์ยางโต-กระแส EV หนุน

NERHoonSmart.com>> “นอร์ทอีส รับเบอร์” ตั้งเป้า ปี 65 รายได้ 28,000 ล้านบาท แรงหนุนจากความต้องการใช้ยางยังดีต่อเนื่อง กำลังการผลิตโรงงานเดินเครื่องได้เต็มประสิทธิภาพ คาดยอดขายยางแตะ 5 แสนตัน พร้อมจำหน่ายแผ่นยางปูรองปศุสัตว์ ไตรมาส 1/65 แบรนด์ cattleFlex ชี้อัตรากำไรขั้นต้นอยู๋ในระดับสูง ส่วนแผนลงทุนเตรียมงบ 240 ล้านบาท ลงทุนโซลาร์รูฟ-วิจัยผลิตภัณฑ์ใหม่

นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ (NER) เปิดเผยถึงเป้าหมายการเติบโตของรายได้รวมในปี 2565 ว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ 28,000 ล้านบาท จากปี 2564 ที่คาดโตได้ตามเป้าที่ 24,500 ล้านบาท โดยมองว่าความต้องการใช้ยางพาราในอุตสาหกรรมยังดีต่อเนื่อง ซึ่งปัจจัยหนุนหลายด้าน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการผลิตถุงมือยาง

นอกจากนี้หากสถานการณ์โควิด คลี่คลายก็จะทำให้การเดินทางมากขึ้นก็ยังส่งผลดีต่อความต้องการใช้ยางรถยนต์เพิ่มมากขึ้น ส่วนปริมาณการขายคาดว่าจะสามารถทำยอดขายยางพาราอยู่ที่ 500,000 ตัน จากกำลังการผลิตทั้งหมด 510,000 ตัน โดยสัดส่วนของยอดขายในปี 65 บริษัทยังวางนโยบายการจำหน่ายสินค้าในประเทศและต่างประเทศเป็น 65:35 เพื่อหลีกเลี่ยงความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน และ ค่าระวางเรือที่ปรับเปลี่ยนในทิศทางที่สูงขึ้น

สำหรับสถานการณ์ยางกำลังมีทิศทางที่ดีขึ้น โดยในไตรมาส 1 ของปี 2565 มีปัจจัยบวกที่สนับสนุนเนื่องจาก ยางพารากำลังเข้าสู่ฤดูการปิดกรีด จึงเกิดปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบ และ อุปทานลดต่ำลงตามฤดูกาล ในขณะที่ความต้องการนำเข้ายางของจีนมากขึ้นและบริษัทผู้ผลิตเริ่มสต๊อกยางธรรมชาติ คาดว่าการบริโภครายเดือนจะสูงถึง 500,000 ตัน นอกจากนี้ ความต้องการยางในประเทศอื่น ๆ ก็เพิ่มสูงขึ้น

สมาคมรถยนต์โดยสารแห่งประเทศจีน (CPCA) ได้มีการรายงานว่ายอดจำหน่ายรถยนต์โดยสารพลังงานใหม่ในจีนรวม 2.99 ล้านคันในปี 2564 เพิ่มขึ้นร้อยละ 169.1 เมื่อเทียบกับปี 2563 และมียานยนต์ที่จดทะเบียนในปี 2021 รวม 36.74 ล้านคัน ทำให้จำนวนยานยนต์ที่จดทะเบียนเพิ่มขึ้นเป็น 395 ล้านคัน ซึ่งเป็นรถยนต์ 302 ล้านคันทั้งนี้ มีรายงานยอดการผลิตรถยนต์เพิ่มขึ้นถึง 5.4% หรือประมาณ 25.7 ล้านคัน ในปี 2565 จึงมีโอกาสหนุนให้ราคายางปรับตัวขึ้นแตะระดับ 70 บาท/กิโลกรัมได้ ขณะที่ทั้งปีคาดว่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 65-67 บาท/กิโลกรัม

ด้านแผนงานธุรกิจปลายน้ำ ผลิตภัณฑ์แผ่นปูนอนรองวัว ภายใต้แบรนด์ cattleFlex ยังเป็นไปตามแผนงาน โดยคาดว่าจะติดตั้งเครื่องจักรได้แล้วเสร็จในไตรมาส 1 ของปี 2565 โดยมีปริมาณการขายในปี 2565 ที่ 280,000 แผ่น คิดเป็นรายได้ประมาณ 500 ล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างทำการเจราจากับกลุ่มประเทศต่างๆ ให้เป็นตัวแทนการจำหน่ายสินค้า (Distributer) ซึ่งในเฟสแรกมีทั้งหมด 13 ประเทศ โดยผลิตภัณฑ์แบ่งเป็น 4 รุ่น ได้แก่ รุ่น Pro พรีเมียมระดับมาตรฐานยุโรป รุ่น Tuf ทนทานในราคาที่จับต้องได้ รุ่น Calf พิเศษสำหรับลูกวัว และรุ่น Move สำหรับทางเดินในฟาร์มปศุสัตว์

นอกจากนี้บริษัทตั้งงบลงทุนไว้ที่ประมาณ 240 ล้านบาท โดย 100 ล้านบาทแรก จะใช้ลงทุนด้านพลังงานทดแทนแสงอาทิตย์ (โซลาร์) นำมาทดแทนพลังงานที่บริษัทต้องซื้อ เพื่อช่วยประหยัดต้นทุนพลังงานของบริษัท และ 40 ล้านบาท ลงทุนด้านหุ่นยนต์ดึงยางเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความรวดเร็วในการผลิต เพื่อหนุนปริมาณยอดขายที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่วนที่เหลืออีก 100 ล้านบาท บริษัทจะนำไปใช้ในการสร้างศูนย์วิจัยและพัฒนา (R&D) ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ปลายน้ำหรือผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปตามนโยบายบริษัท เพื่อที่จะรุกสินค้าในกลุ่มนี้เพิ่มมากขึ้น เพื่อสร้างมูลค่าและกำไรให้กับบริษัทมากยิ่งขึ้น