หุ้นฯเทคร่วง พลังงาน-แบงก์นำตลาด SCBS เชียร์ DELTA เป้า 514 บาท

HoonSmart.com>> หุ้นปี 65 ดัชนี NASDAQ ร่วงลง กดดันหุ้นเทคโนโลยีและอิเล็กทรอนิกส์ของไทย หลังราคาหุ้นพุ่งแรง บล.ไทยพาณิชย์มองสวนตลาด แนะนำซื้อเดลต้าฯตีมูลค่าสูง กำไรโตจากธุรกิจอยู่ในห่วงโซ่คุณค่าในอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตสูง ด้านนักวิเคราะห์แนะนำหุ้นแบงก์ พลังงานมีแรงซื้อ ราคาน้ำมันดิบ-ถ่านหินเพิ่มขึ้น จากเหตุการณ์ประท้วงในคาซัคสถาน

ตลาดหุ้นในปี 2565 ดัชนี NASDAQ ร่วงลงอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดวันที่ 7 ม.ค. ที่ผ่านมา ยังคงปรับตัวลงต่อ 144.96 จุดหรือ -0.96% ปิดที่ 14,935.90 จุด กระทบหุ้นเทคโนโลยีและอิเล็กทรอนิกส์ในตลาดหุ้นไทย และถือโอกาสปรับตัวลงหลังจากราคาหุ้นวิ่งขึ้นมามากในปี 2564

อย่างไรก็ตาม บล.ไทยพาณิชย์(SCBS) กลับแนะนำซื้อหุ้น บริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) หรือ DELTA ให้ราคาเป้าหมายถึง 514 บาท เทียบกับราคาปิดที่ 396 บาท ให้ผลตอบแทนมากกว่า 20% ขณะที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ให้หลีกเลี่ยงการลงทุน เพราะมองว่าราคาแพงเกินไป

บล.ไทยพาณิชย์ให้คำแนะนำซื้อหุ้น DELTA  เกิดขึ้นภายหลังจากเข้าเยี่ยมชมกิจการ เพิ่มความเชื่อมั่นในปัจจัยฐานและการเติบโตตามห่วงโซ่ธุรกิจโลกใหม่ ขณะที่ราคาหุ้นปรับตัวลงมามากราว 48% จากช่วงเดือนก.ย.ที่ผ่านมา สะท้อนปัจจัยลบ จากผลประกอบการที่ต่ำกว่าที่คาด และการถูกถอดออกจาก SET50 และ SET 100 มีผลต้นปี 2565แล้ว

บริษัทตั้งเป้ารายได้และกำไรปี 2565 จะดีกว่าปี 2564 จากคำสั่งซื้อที่อยู่ในระดับสูงและฐานต่ำจากผลกระทบจากโควิด-19 น้ำท่วม และการขาดแคลนชิปที่ลดน้อยลงโดยประเมินว่าภาวะการขาดแคลนนี้จะกลับมาสู่ภาวะปกติช่วงกลางปี 2565 และจะยังมีแรงหนุนจากการเกิดขึ้นของ Metaverse ด้วย นอกจากนั้นการออกผลิตภัณฑ์ใหม่จะทำให้ขยายตลาดได้มากขึ้น บริษัทมีงบลงทุนไว้1,000 ล้านบาท สำหรับใช้ลงทุนก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ในประเทศเพิ่มเติม

ทั้งนี้ แม้ว่าจะมองเหมือนที่ตลาดมองว่า Valuation ค่อนข้างสูง แต่เชื่อว่า Valuation จะอยู่ในระดับสูงต่อไป เพราะบริษัทอยู่ในห่วงโซ่คุณค่าในอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตสูงอาทิเช่น Cloud, DataCenter, รถยนต์ไฟฟ้า, เครื่องชาร์จ EV, โทรคมนาคม, Automation และสินค้าเกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาด ซึ่งเป็นธีมที่มีพัฒนาการเชิงบวกของเทคโนโลยีจึงมองภาพการเติบโตของบริษัทในธีมต่างๆมากกว่า Valuation

ในระยะกลางถึงยาวเชื่อว่าธุรกิจของ DELTA ที่เชื่อมโยงกับการลงทุนในพลังงานสะอาด (EV,Energy Storage, พลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์) และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของ 5Gจะยังเป็นจุดเด่นในการเติบโตซึ่งถือว่าบริษัทมีตำแหน่งทางการตลาดค่อนข้างชัดเจน

สำหรับไตรมาสที่ 4/2564 คาดกำไรมีแนวโน้มฟื้นตัวจากไตรมาสที่ 3 เนื่องจากการขาดแคลนชิปที่เป็นปัจจัยทำให้ต้นทุนเพิ่มสูงขึ้นเริ่มคลี่คลาย ค่าขนส่งที่ลดลง ค่าเงินบาทที่อ่อนค่า และความต้องการสินค้ายังอยู่ในระดับสูง ในขณะที่ปี 2565 นั้นคาดว่ากำไรจะเติบโต 45%  ตามการคลี่คลายของการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์และชิปที่จะทำให้อัตราการทำกำไรดีขึ้น และจะเติบโตอีก 18% ในปี 2566 ส่วนความเสี่ยงสำคัญ คือ ค่าเงินบาทแข็งค่า เศรษฐกิจโลกชะลอตัว และการล็อกดาวน์

ทางด้านภาพตลาดหุ้นโดยรวม ยังคงได้รับผลกระทบจากกรณีธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยแรงและเร็วประมาณเดือนมี.ค.นี่ และลดขนาดงบดุล หนุนให้บอนด์ยีลด์เพิ่มขึ้นเป็น 1.766%  แต่กลับส่งผลดีต่อธุรกิจธนาคารพาณิชย์ และประกัน ขณะเดียวกันราคาน้ำมันดิบและถ่านหินปรับตัวขึ้น ส่วนหนึ่งเกิดจากการประท้วงในคาซัคสถาน แหล่งผู้ผลิตพลังงานสำคัญ หนุนให้หุ้นกลุ่มพลังงาน นำโดยโรงกลั่น รวมถึง PTTEP, BANPU และ LANNA ปรับตัวขึ้นโดดเด่น

บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ แนะนำ “ซื้อ” หุ้น PTTEP ให้ราคาเป้าหมาย 146 บาท แม้กำไรไตรมาสที่ 4/2564 ถูกกดดันจากการตั้งด้อยค่า แต่กำไรปกติยังเติบโตสูง คาดกำไรสุทธิอยู่ที่ 9,350 ล้านบาท (-2%QoQ, +270%YoY) หากไม่รวมรายการพิเศษ ได้แก่ ขาดทุนจากการตัดจำหน่ายสินทรัพย์ของโครงการในมาเลเซียและเม็กซิโก 24 ล้านเหรียญสหรัฐ กำไรจากการบริหารความเสี่ยงราคาน้ำมัน 10 ล้านเหรียญ การกลับรายการค่าใช้จ่ายของโครงการบงกช 100 ล้านเหรียญ และรายการสำคัญคือการตั้งด้อยค่าใน 2 โครงการรวม – 200 ล้านเหรียญ ได้แก่ โมซัมบิก แอเรีย 1 ราว 170 ล้านเหรียญ จาก Country risk ที่สูงขึ้นตามเหตุการณ์ความไม่สงบในประเทศทำให้ต้องหยุดดำเนินการก่อสร้างชั่วคราว กระทบให้การเริ่มผลิตล่าช้าออกไป และโครงการเยตากุนในเมียนมา ราว 30 ล้านเหรียญ ตามปริมาณการผลิตที่ต่ำลง
คาดกำไรปกติอยู่ที่ 1.3 หมื่นล้านบาท (+19%QoQ, +140%YoY) โดยหลักจากราคาขายเฉลี่ย (ASP) ที่เพิ่มขึ้น

แนวโน้มกำไรปกติจะมีเสถียรภาพสูงตามปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นจากการพัฒนาโครงการเดิมและเริ่มผลิตโครงการใหม่และราคาน้ำมันดิบทรงตัวในระดับสูง นอกจากนั้น คาด 2 ประเด็นลบหลักที่กดดันจะคลี่คลายในปีนี้ และด้วยทิศทางกำไรที่เติบโตย่อมทำให้โอกาสการจ่ายเงินปันผลกลับสู่ระดับเดิม ซึ่งเป็นอัตราที่ดีราว 5% ทั้งนี้คาด PTTEP จะประกาศจ่ายเงินปันผลสำหรับครึ่งหลังปี 2564 ในช่วงปลายเดือนม.ค.นี้