ส.นักวิเคราะห์ให้เป้า 1,665 จุด Q1 หุ้นเด่น ADVANC-CPALL-EA-KBANK-SCB

HoonSmart.com>>สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุนมองเป้าหมายดัชนีหุ้นปี 65 ไม่ถึง 1,800 จุด คาดแกว่งในกรอบ 1,546-1,782 จุด สิ้นปีปิดที่ 1,760 จุด เพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจโต 3.71% ราคาน้ำมันดิบเป็น 69.90 เหรียญสหรัฐ หั่นประมาณการกำไรต่อหุ้น (EPS) เฉลี่ยที่ 89.59 บาท  โต 11.82% จากปี 64 แนะนำเพิ่มน้ำหนักค้าปลีก ธนาคาร อสังหาริมทรัพย์ และสื่อสาร ขณะที่ให้ลดธุรกิจการเกษตร ปิโตรเคมี การแพทย์ และการท่องเที่ยว

นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) เปิดเผยผลการสำรวจความเห็นสมาชิกนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุน รวม 25 สำนัก คาดการณ์ดัชนีตลาดหลักทรัพย์( SET Index) ในช่วงไตรมาส1/2565 จะไม่เปลี่ยนแปลงไปจากสิ้นปี 2564 มากนัก โดยจะปิดที่ 1,665 จุด และมองตลอดปีจะแกว่งตัวในกรอบ 1,546 ถึง 1,782 จุด และคาดการณ์ว่าสิ้นปีจะปิดที่ 1,760 จุด

นักวิเคราะห์เพิ่มสมมติฐานหลักด้านการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปี 2565 จะเติบโต 3.71% ปรับจากการสำรวจเมื่อ 3 เดือนก่อนอยู่ที่ 3.67% และเพิ่มราคาน้ำมันดิบสูงขึ้นเป็น 69.90 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก สูงขึ้นจากการประเมินครั้งก่อน 68.54 เหรียญสหรัฐฯ

 

สำหรับทิศทางการลงทุนในปี 2565 เชื่อว่าจะได้ผลบวกที่ชัดเจนจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่จะดีขึ้น โดยมีผู้โหวตถึง 92% และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย มีผู้โหวต 84% ตามมาด้วย แนวโน้มความคืบหน้าของการฉีดวัคซีนและโควิดในไทย มีผู้โหวต 80%

ส่วนปัจจัยด้านลบ มาจากแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีผู้โหวตมากถึง 84% รองลงมาคือ การเตรียมลดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ทั่วโลก มีผู้โหวต 72% และ ตามติดมาด้วยแนวโน้มสถานการณ์โควิดของโลกที่สูงขึ้นอีกครั้ง มีผู้โหวต 68% ทางด้านอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย ความเห็นส่วนใหญ่ 79% มองว่าน่าจะไม่เปลี่ยนแปลงตลอดทั้งปีนี้

 

ขณะที่ผลกำไรต่อหุ้น (EPS) ของบริษัทจดทะเบียนปี 65 เฉลี่ยที่ 89.59 บาท/หุ้น เติบโต 11.82% จากปี 64 อย่างไรก็ตามตัวเลขคาดการณ์ใหม่นี้ต่ำกว่าการสำรวจครั้งก่อนซึ่งอยู่ที่ 92.49 บาท/หุ้น

นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังแนะนำการลงทุนให้กระจายพอร์ต แบ่งเป็น เงินสดและเงินฝากระยะสั้น 10.22%, กองทุนตราสารหนี้ 16.96%, หุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย 29.87%, หุ้นหรือกองทุนหุ้นต่างประเทศ 28.96%  กองทุนอสังหาฯหรือ REIT 8.09%, ทองคำหรือกองทุนทองคำ 5.35% และอื่นๆ 0.57%

 

ส่วนการลงทุนหุ้นไทย แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักในหมวดธุรกิจค้าปลีก ธนาคาร อสังหาริมทรัพย์ และสื่อสาร ขณะที่ให้ลดน้ำหนักลงทุนใน หมวดธุรกิจการเกษตร ปิโตรเคมี การแพทย์ และการท่องเที่ยว

 

หุ้นเด่นที่แนะนำ คือ ADVANC CPALL EA KBANK และ SCB ส่วนหุ้นที่แนะนำให้หลีกเลี่ยง คือ ธุรกิจโรงแรมและสายการบินรวมถึงหุ้นชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งบางบริษัทที่เคยวิ่งขึ้นกว่า 1,000% ในข่วงปี 2563-2564 เนื่องจากปัจจุบันแม้ราคาลงมาบ้าง แต่ยังคงเกินมูลค่าปัจจัยพื้นฐาน

 

นักวิเคราะห์ยังได้แนะนำนโยบายที่จะมีผลบวกต่อภาวะเศรษฐกิจไปยังรัฐบาล ได้แก่ การเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ วางแผนโครงสร้างเทคโนโลยีการผลิตระยะยาว รวมถึงโครงข่ายสื่อสารและขนส่ง นอกจากนั้นยังแนะนำให้ช่วยเหลือประชาชน โดยเร่งฉีดวัคซีนเข็ม 3 รวมถึงมาตรการให้สิทธิประโยชน์ลดหย่อนภาษีเพื่อกระตุ้นภาคการบริโภค ส่วนด้านภาคธุรกิจนั้นควรใช้นโยบายสนับสนุนสินเชื่อภาคธุรกิจเพิ่มเติม