BTS ขายหุ้นกู้เพิ่มเป็น 1 หมื่นล.

ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ BTS วงเงิน 10,000 ล้านบาท ที่ระดับ “A/คงที่” แทนที่หุ้นกู้ 6,000 ล้านบาทชุดเดิม ธุรกิจแข็งแกร่ง คาดฐานะการงินถดถอย หนี้เพิ่มมาก 4 ปีข้างหน้า

บริษัททริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) ที่ระดับ “A” ในขณะเดียวกันยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 10,000 ล้านบาทที่ระดับ “A” ด้วย

ทั้งนี้ อันดับเครดิตของหุ้นกู้ชุดใหม่ใช้แทนอันดับเครดิตหุ้นกู้เดิมที่ได้รับการจัดอันดับเมื่อวันที่ 24 ส.ค.2561 เนื่องจากบริษัทเพิ่มวงเงินรวมของหุ้นกู้เป็น 10,000 ล้านบาท จากเดิม 6,000 ล้านบาท โดยบริษัทจะนำเงินไปใช้ชำระคืนหนี้เดิม หรือใช้ในการลงทุน หรือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน

อันดับเครดิตสะท้อนถึงความแข็งแกร่งทางธุรกิจของบริษัทจากการมีรายได้ค่าบริการที่สามารถคาดการณ์ได้จากการให้บริการเดินรถไฟฟ้า ตลอดจนการได้รับเงินปันผลที่สม่ำเสมอจากการถือหุ้น 33.33% ในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลชนทางรางบีทีเอสโกรท (BTSGIF) และการมีสถานะที่มั่นคงในธุรกิจสื่อโฆษณา

อย่างไรก็ตาม คาดว่าฐานะทางการเงิน จะถดถอยลงจากภาระหนี้ที่จะเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วง 4 ปีข้างหน้าอันเนื่องมาจากการลงทุนในโครงการขนส่งมวลชนขนาดใหญ่หลายโครงการ

ในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปีงบประมาณ 2562 รายได้ของบริษัท (ไม่รวมรายได้จากการให้บริการรับเหมาติดตั้งและก่อสร้างและจัดหารถไฟฟ้า) เพิ่มขึ้น 14% อยู่ที่ 1,636 ล้านบาทเนื่องจากธุรกิจสื่อโฆษณาเติบโตมาก อัตราการทำกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทลดลงอย่างมีนัยสำคัญจาก 31.8% ในปีงบประมาณ 2561 เป็น 19.7% ในช่วงไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2562 เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายไม่ประจำในการขายและบริหารเพิ่มขึ้น ในขณะที่อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนอยู่ที่ระดับ 50% ในปีงบประมาณ 2561 ถึงช่วงไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2562

แนวโน้มอันดับเครดิต “คงที่” สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะยังสามารถรักษาการเติบโตทั้งในด้านของรายได้และกระแสเงินสดจากการดำเนินงานได้ เงินกู้รวมคาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการลงทุนในโครงการขนส่งมวลชนใหม่ ๆ ผ่านบริษัทย่อย อย่างไรก็ตาม กระแสเงินสดจากธุรกิจปัจจุบันคาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก ซึ่งจะช่วยให้บริษัทสามารถรักษาอัตราส่วนเงินกู้สุทธิต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้

ภายใต้สมมติฐานพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 11,000 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2564 นอกจากนี้ ในระหว่างปีงบประมาณ 2562-2564 ทริสยังคาดว่าบริษัทจะรับรู้รายได้ประมาณ 80,000 ล้านบาทจากงานติดตั้งระบบไฟฟ้าและเครื่องกล ตลอดจนการจัดหาขบวนรถไฟฟ้าและรายได้จากการพัฒนาโครงการรถไฟฟ้าโมโนเรลสายสีชมพูและสายสีเหลือง อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 30% ส่วนอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนจะค่อย ๆ ลดลงสู่ระดับ 40% ในปีงบประมาณ 2564 ในขณะที่อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายควรอยู่สูงกว่า 2.5 เท่า