HoonSmart.com>> “ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” ประเมินกนง.คงดอกเบี้ยที่ 0.5% ประชุม 22 ธ.ค.นี้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่มีมากขึ้นจากโอมิครอน อาจปรับประมาณการเศรษฐกิจปีนี้เพิ่มขึ้น หั่นปีหน้าลดลง พร้อมปรับคาดการณ์เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นหลังแนวโน้มเงินเฟ้อโลกสูงอีกระยะหนึ่ง ท่ามกลางปัญหาคอขวดในห่วงโซ่อุปทาน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 22 ธ.ค. นี้ กนง. จะพิจารณาคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.50% ท่ามกลางความเสี่ยงที่มีมากขึ้นจากโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน ซึ่งอาจส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในไทยอาจน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ รวมถึงอาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงักอีกครั้ง
ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เหล่านี้ คาดว่ากนง. น่าจะยังคงนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายและคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5% ในการประชุมนโยบายการเงินที่จะถึงนี้เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย โดยกนง. คงให้น้ำหนักต่อความเสี่ยงทางเศรษฐกิจมากกว่าแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่มีมากขึ้น โดยมีมุมมองว่าแม้เงินเฟ้อไทยจะพุ่งสูงขึ้นตามแนวโน้มเงินเฟ้อโลก แต่คาดว่าระดับเงินเฟ้อไทยจะยังอยู่ในกรอบเป้าหมายของกนง.
นอกจากนี้ ในการประชุมนโยบายการเงินครั้งนี้จะมีการประกาศประมาณการเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ ซึ่งคาดว่าธปท. อาจมีอาจปรับประมาณการเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นในปีนี้และลดลงในปีหน้า สำหรับในด้านของเงินเฟ้อ คาดว่าธปท. อาจปรับประมาณการเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นทั้งในปีนี้และปีหน้า หลังจากเงินเฟ้อโลกมีแนวโน้มที่จะยังอยู่ในระดับสูงต่อไปอีกสักระยะหนึ่งท่ามกลางปัญหาคอขวดในห่วงโซ่อุปทาน
อย่างไรก็ดี กนง. มีแนวโน้มที่จะเผชิญแรงกดดันมากขึ้นในช่วงครึ่งปีแรกของปีหน้า หากเฟดยังคงเผชิญแรงกดดันจากเงินเฟ้ออย่างมากและมีความจำเป็นต้องพิจารณาปรับขึ้นดอกเบี้ยมากกว่าที่ได้ส่งสัญญาณไว้ อาจเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดเงินทุนไหลออกจากประเทศไทย และส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงกว่าเดิมได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงครึ่งปีแรกของปีหน้า เนื่องจากเฟดคงจะส่งสัญญาณล่วงหน้าหากจะมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินใดๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการประชุมเฟดในเดือนมี.ค. 2565 ก่อนที่วงเงิน QE จะสิ้นสุดลง
นอกจากนี้ ยังคงต้องติดตามแนวโน้มภาคการท่องเที่ยวและดุลบัญชีเดินสะพัดของไทย ท่ามกลางความเสี่ยงจากโอมิครอนที่มีมากขึ้น หากการท่องเที่ยวฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง ดุลบัญชีเดินสะพัดที่กระเตื้องขึ้นอาจจะหนุนเงินบาทให้กลับมาแข็งค่าขึ้นได้บ้าง ในทางตรงข้าม หากสถานการณ์ภาคการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบอย่างมากจากการแพร่ระบาดของสายพันธุ์โอมิครอน
ขณะที่หากเฟดมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยมากกว่าที่เคยส่งสัญญาณไว้จนก่อให้เกิดเงินทุนไหลออกจากไทย กนง. คงเผชิญกับความท้าทายในการดำเนินนโยบายการเงินมากขึ้น จากดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยจะอ่อนแอกว่าที่คาด และอาจเป็นแรงกดดันให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงกว่าเดิมได้ ทำให้กนง. ต้องเผชิญกับสถานการณ์ทางเลือกที่จะต้องชั่งน้ำหนักระหว่างประเด็นการเติบโตทางเศรษฐกิจและเสถียรภาพด้านการเงินผ่านอัตราแลกเปลี่ยน