‘โอมิครอน’ คุกคามหุ้นโลกดิ่ง แนะรอจังหวะช้อน

HoonSmart.com>>หุ้นโลกแดงเถือก ดัชนีดาวโจนส์นำดิ่ง 2 วันเฉียด 1,000 จุด ฉุดหุ้นยุโรป-เอเชียร่วงตาม1-2% ราคาน้ำมันดิบรูดแรงกว่า 4% ค่าเงินบาทอ่อนตามภูมิภาค หุ้นไทยทรุด-1.58% เจอต่างชาติ-สถาบันทิ้ง ผสมหุ้นหลุด SET 50-100 ถูกเทซ้ำเติม นักวิเคราะห์แนะหลีกเลี่ยง DELTA ฟันด์โฟลว์หลบในตราสารหนี้ 8,289 ล้านบาท นักลงทุนไม่สนข่าวดีส่งออกเดือนพ.ย.โต 24.7% ฟิทช์ฯคงเครดิตไทยที่ BBB+ นักกลยุทธ์แนะไม่ต้องรีบซื้อ

วันที่ 20 ธ.ค.หุ้นไทยหนีไม่พ้นร่วงลงแรงตามตลาดต่างประเทศ ดัชนีถลาลง 25.93 จุดหรือ -1.58% ปิดที่ 1,615.80 จุด มูลค่าการซื้อขาย 82,357.88 ล้านบาท  สถาบันไทยและต่างประเทศขายกลุ่มละกว่า 2,900 ล้านบาท โดยมีแรงรับจากนักลงทุนไทย 5,716.54 ล้านบาท

ตลาดหุ้นไทยร่วงแรงเกาะกลุ่มตลาดในภูมิภาคและยุโรป หลังจากตลาดหุ้นสหรัฐทรุดลงหนัก 532.20 จุด หรือ 1.48% เมื่อวันที่ 17 ธ.ค.ที่ผ่านมา และวันนี้ ดัชนีดาวโจนส์ล่วงหน้ายังคงไหลลงต่อกว่า 1% หรือ 450 จุด ตามความวิตกโควิดโอมิครอนระบาดหนักในยุโรป จนนำไปสู่การล็อกดาวน์บางประเทศ รวมถึงการกลับมาใช้มาตรการคุมเข้มส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันธนาคารกลางสหรัฐเร่งผ่อนคลายนโยบายการเงิน ธนาคารกลางอังกฤษพลิกล็อกรีบขึ้นดอกเบี้ยสกัดการเร่งตัวของเงินเฟ้อ และยังมีแรงกดดัน ส.ว.จากพรรคเดโมเครตของสหรัฐไม่หนุนกฎหมาย Build Back Better กดดันราคาสินทรัพย์เสี่ยง นำโดยหุ้นยังคงมีโอกาสปรับตัวลงต่อ จึงไม่จำเป็นต้องรีบเข้าไปรับ แม้ว่าราคาหุ้นจะไหลลงลึกก็ตาม  และราคาน้ำมันดิบทรุดลงมากกว่า 4%

นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า หุ้นไทยปิดติดลบ 25.93 จุด เนื่องจากกังวลโควิดโอมิครอนที่มีการระบาดเร็วขึ้น และเริ่มมีผู้เสียชีวิต ประกอบกับหุ้น BJC และ DELTA ถูกออกจากการคำนวณดัชนี SET50 และ  SET100 ทำให้เป็นปัจจัยกดดันตลาดเสริม

ส่วนแนวโน้มของตลาดในสัปดาห์นี้ (21-24 ธ.ค.2564) คาดว่าดัชนีจะเคลื่อนไหวแกว่งตัว โดยมีแนวรับที่ 1,600-1,610 จุด และแนวต้านที่ 1,625-1,630 จุด หุ้นเด่นแนะนำ TRC, AH, NYT, GPSC และGUNKUL ปัจจัยที่ต้องติดตามต่อคือการประชุม ครม. วันพรุ่งนี้ จะมีการหารือเรื่องการลดภาษีของรถยนต์ไฟฟ้า EV

ด้านราคาหุ้นของ 3 บริษัทที่ถูกคัดออกจากการคำนวณ ดัชนี SET 50 รอบใหม่ (ม.ค.-มิ.ย.2565) ต่างปรับตัวลง โดยเฉพาะบริษัทเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ (BJC) และบริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (DELTA) ถูกขายออกมามาจนราคาไหลลงแรงกว่า 6% ส่วน STA ลดลงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะคาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการแพร่ระบาดของโอมิครอน และ AOT ที่ไม่หลุดโผอย่างที่กังวล ราคาพยายามไต่ขึ้นไปได้สูงสุด 60 บาท แต่กลับมาปิดที่ 59.50 บาท ไม่เปลี่ยนแปลงจากวันก่อน

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า แรงขายหุ้น DELTA ยังมีอยู่ โดยมองว่าภายในสิ้นเดือน ธ.ค.นี้ ยังมีแรงขายของกองทุนออกมาอีกครั้งหนึ่ง แต่ในเชิงของการลงทุนแนะนำเป็นเก็งกำไร เนื่องจาก Valuation ยังคงแพงกว่ากลุ่ม ส่วนราคา Consensus ของตลาดเฉลี่ยอยู่ที่ 360 บาท

“แนวโน้มธุรกิจ DELTA ก็ดี มีการเติบโตต่อเนื่อง ด้วยยอดคำสั่งล่วงหน้าที่ยังคงมีอยู่ แต่ด้วยมูลค่าราคาหุ้นที่แพง ทำให้ความน่าสนใจลดลง ซึ่งแนะนำสะสม HANA และKCE ดีกว่า ด้วยภาพการเติบโตที่ชัดกว่า DELTA และมี Valuation ที่ถูกกว่าด้วย” นายวิจิตร กล่าว

ด้านน.ส.ชนัญญ์ธร พิชญะภาณุพัฒน์ นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2565 ของหุ้น DELTA ตั้งไว้ที่ 320 บาท ปัจจุบันก็เกินปัจจัยพื้นฐานไปพอสมควร โดยแนวโน้มปี 2565 คาดว่ายอดขายมีการเติบโตประมาณ 10-15% ประกอบกับอัตรากำไรขั้นต้นจะปรับดีขึ้น รวมถึงได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทอ่อน ซึ่งแนวโน้มธุรกิจดี แต่ในเชิงของราคาหุ้นแนะนำ “ขาย” จาก Valuation ค่อนข้างแพง

ด้านกระทรวงพาณิชย์ แถลงตัวเลขส่งออกของเดือนพ.ย.64 ขยายตัว 24.7% นำเข้าโต 20.5% ส่งผลเกินดุลการค้า 1,018 ล้านเหรียญ มั่นใจปีนี้ส่งออกโตตามเป้า 15-16% ปี 2565 ไม่ต่ำกว่านี้ที่ 2.68 แสนล้านเหรียญ

บริษัทฟิทช์ เรทติ้งส์คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยที่ BBB+ และคงมุมมองมีเสถียรภาพ ยันภาคการคลัง-ภาคการเงินต่างประเทศเข้มแข็ง ห่วงหนี้ภาคครัวเรือนต่อ GDP และความไม่แน่นอนทางการเมือง