อสังหาฯแห่ลงทุนโครงการ “มิกซ์ยูส” ใจกลางเมือง รับมือราคาที่ดินแพง-ตอบโจทย์การใช้ชีวิตคนรุ่นใหม่ “S” จับตาอีก 3 ปีสำนักงานให้เช่าล้นตลาด
นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท (S) เปิดเผยว่า ในอีก 3 ปีข้างหน้าคาดว่าสำนักงานให้เช่าจะอยู่ในภาวะโอเวอร์ซัพพลาย เนื่องจากในช่วงปี 2563-64 สำนักงานให้เช่าที่ขณะนี้อยู่ระหว่างก่อสร้างจะแล้วเสร็จ ประกอบกับอัตราค่าเช่าสำนักงานที่สูงมาก ทำให้ผู้เช่ารับภาระค่าเช่าไม่ไหวและชะลอการเช่าสำนักงานออกไป ซึ่งทาง S เองก็ปรับตัวรับมือกับแนวโน้มดังกล่าว โดยชะลอการลงทุนสำนักงานให้เช่า และเปลี่ยนไปลงทุนโครงการมิกซ์ยูส (การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รูปแบบผสม) ประเภททาวน์ชิปแทน
ขณะเดียวกัน โครงการมิกซ์ยูยังทำให้การใช้ที่ดินเกิดประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะบนพื้นที่ใจกลางเมืองที่มีความหนาแน่นมากและราคาที่ดินสูง ตนจึงมองว่าในระยะต่อไปการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทมิกซ์ยูสในพื้นที่ใจกลางกรุงเทพฯจะเกิดมากขึ้น ส่วนในเอเชียโครงการมิกซ์ยูสกำลังเติบโตต่อเนื่อง ซึ่ง S เองได้เข้าลงทุนโครงการมิกซ์ยูสในต่างประเทศ เช่น มารินา วัน สิงคโปร์ และสแตนฟอร์ด ซิตี้ ลอนดอน ซึ่งทั้งสองแห่งจะเปิดปลายปีนี้ นอกจากนี้ S ยังลงทุนโครงการเซาท์ ควอเตอร์ มัลดีฟ ซึ่งเป็นโครงการมิกซ์ยูสในทะเลด้วย
“การลงทุนโครงการมิกซ์ยูส เราให้ความสำคัญกับทำเลที่ตั้ง และมุ่งมั่นพัฒนาโครงการระดับพรีเมียมเป็นหลัก เน้นคุณภาพ ไม่เน้นปริมาณ”นายนริศกล่าว
นายนริศ กล่าวว่า ประเทศไทยถือว่ามีความโดดเด่นและเหมาะสำหรับการเข้ามาลงทุน แต่ยังมีกฎระเบียบบางอย่างที่รัฐบาลต้องปรับปรุงแก้ไข เพื่อทำให้การทำธุรกิจในไทยง่ายขึ้นกว่านี้
นางกมลวรรณ วิปุลากร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วัน ออริจิ้น บริษัทลูกของบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI) กล่าวว่า โครงการมิกซ์ยูสถือว่าตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ทั้งด้านการทำงาน การอยู่อาศัย และการใช้ชีวิตอยู่ในที่เดียวกัน จึงทำให้โครงการมิกซ์ยูสมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง นอกจากนี้ ท่ามกลางสถานการณ์ราคาที่ดินที่มีแแนวโน้มสูงขึ้น ทำให้บริษัทหันมาพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสด้วย ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของโครงการ
“การพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสจะเปลี่ยนการแข่งขันในธุรกิจนี้ เช่น ในธุรกิจสำนักงานให้เช่า หากเป็นสำนักงานให้เช่าที่ตั้งแบบเดี่ยวๆ ตอนนี้ถือเป็นช่วงขาลง แต่หากเป็นสำนักงานให้เช่าในโครงการมิกซ์ยูส ตรงนี้ยังเป็นขาขึ้นอยู่ ดังนั้น หากผู้ประกอบการไม่ปรับตัวก็จะต้องออกจากตลาดหรือธุรกิจถูกเปลี่ยนมือ”นางกมลวรรณกล่าว