ต่างชาติบอมม์ต่อ รอเก็บ 1,550 ถล่มแบงก์ ศก.เสี่ยงถดถอย

HoonSmart.com>> หุ้นไทยร่วงตามภูมิภาค ติดลบ 1.30% หลุดแนวรับ 1,590 จุด สวนทางตลาดยุโรปเด้ง ดาวโจนส์ล่วงหน้าบวก ฝีมือนักลงทุนสถาบัน ต่างชาติขายต่อ 4.37 พันล้านบาท ทิ้งตราสารหนี้อีก 16,229 ล้านบาท กดดันค่าเงินบาทอ่อน บล.ไทยพาณิชย์ให้แนวรับต่อไป 1,575 จุด บล.โนมูระฯ แนะลงสู่กรอบ 1590-1570 จุดเป็นจุดทยอยเพิ่มน้ำหนัก 5-10%  BCH, CHG บล.ทรีนีตี้ชี้แนวรับสำคัญ 1,550 จุด บล.บัวหลวงยกสถิติไวรัสเดลต้าครั้งแรกทุบ S&P 500 ดิ่ง 7% โอไมครอนรอบนี้ดาวน์ไซด์ -5 ถึง-7% ลงไปแล้ว -2% ลุ้นเฟดยืดเวลาปรับขึ้นดอกเบี้ยออกไป พยุงเศรษฐกิจโลก

วันที่ 29 พ.ย.ตลาดหุ้นเอเชียยังจมต่อเป็นวันที่สองนำโดยญี่ปุ่น -1.63% ตามด้วยไทย -1.30% ดัชนีปิดที่ 1,589.69 จุด ลดลง 20.92 จุด และฮ่องกง-0.95% เนื่องจากความกังวลว่าจะมีการแพร่ระบาดไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือโอไมครอน ขณะที่ญี่ปุ่นจะปิดพรมแดนไม่รับชาวต่างชาติเข้าประเทศ ทั้งนักเดินทางเพื่อธุรกิจ นักศึกษาต่างชาติ และนักศึกษาฝึกงานชาวต่างชาติตั้งแต่วันอังคารที่ 30 พ.ย.

อย่างไรก็ตามสถานการณ์ดีกว่าวันศุกร์ที่ผ่านมาที่ผ่านมา ซึ่งตลาดแต่ละแห่งดำดิ่งมากกว่า 2% ส่วนหนึ่งเกิดจากตลาดหุ้นยุโรปเด้งขึ้นเป็นบวก และดัชนีดาวโจนส์ล่วงหน้าดีดกลับกว่า 250 จุดหรือ 0.7% รวมถึงราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นมากกว่า 5% ขณะนี้มีกระแสข่าวว่าโอไมครอนไม่รุนแรง หากเป็นจริงก็จะเป็น Sentiment บวกให้ตลาดฯ

สำหรับหุ้นที่ถูกเทกระจาดนำโดยกลุ่มธนาคารพาณิชย์ จากความกังวลเศรษฐกิจฟื้นตัวช้ากว่าคาด หรืออาจจะชะลอตัวต่อในไตรมาส 4  รวมถึงแรงขายหุ้นเกี่ยวกับการเดินทาง พุ่งเป้า AOT ราคาหลุด 60 บาท ลดลง 5% และโรงแรมที่มีรายได้จากยุโรป MINT,SHR ขณะที่หุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และเดินเรือกลับปรับตัวขึ้นโดดเด่น

ด้านนักลงทุนสถาบัน 3 กลุ่มยังคงขายหุ้นออกมาติดต่อเป็นวันที่สอง โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 4,370 ล้านบาท และขายตราสารหนี้มากถึง 16,229 ล้านบาท

บล.ไทยพาณิชย์ เผยแรงขายหุ้นเป็นไปทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นภูมิภาค ฉุดดัชนีหลุดแนวรับ 1,590 จุด ส่วนแนวรับถัดไป 1,575 จุด แรงขายหลักมาจากกลุ่มขนส่ง พลังงาน ธนาคาร ส่วนแรงซื้อมาจากกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ไอซีที แนะนำกลยุทธ์ขายลดพอร์ตหรือหลีกเลี่ยงกลุ่ม Global Play และกลุ่ม Reopening

 บริษัทหลักทรัพย์ทรีนีตี้ มองตลาดหุ้นเผชิญกับการปรับฐานได้โดยง่าย จังหวะของการระบาดของสายพันธุ์ใหม่โอไมครอน เกิดขึ้นในช่วงตลาดหุ้นทั่วโลกอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะฝั่งประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐฯ และยุโรป จึงมีความเปราะบางและเฟดจะเริ่มเข้มงวดนโยบายการเงินมากขึ้น ประเมิน Base case  หากพิสูจน์ได้ว่าผลกระทบไม่ได้แตกต่างกับกลุ่มวัคซีนเดิมๆ ทำให้นักลงทุนลดความกังวลได้อย่างฉับพลัน เชื่อว่ามาตรการเข้มงวดต่างๆ ที่ออกมานั้นจะจำกัดอยู่เพียงแค่การเดินทางระหว่างประเทศเท่านั้น

“ประเมินกรอบแนวรับแรกของดัชนีที่บริเวณ 1,580 จุด และแนวรับสำคัญที่บริเวณ 1,550 จุด  แนะนำหลีกเลี่ยง MINT, CRC, S, AOT รวมถึงกลุ่มน้ำมัน” บล.ทรีนีตี้ ระบุ

ในทางกลับกันกรณี Worse case เลวร้ายสุด มีโอกาสสูงที่ดัชนีจะหลุดแนวรับสำคัญ 1,550 จุด  หากล็อกดาวน์ถึงขั้นกลับมาจำกัดการใช้ชีวิตของผู้คนให้อยู่กับบ้านอีกครั้ง มีแนวโน้มนำมาสู่ความกังวงเรื่อง Double dip recession ได้  หรือสายพันธุ์ใหม่เข้ามาในไทยได้หรือไม่  ซึ่งหวังว่าจะไม่เกิดขึ้นนั้น

นอกจากนี้มองตัวแปรสำคัญ หากมีสถานการณ์ที่ไม่สู้ดีเกิดขึ้น เชื่อว่าธนาคารต่างๆ โดยเฉพาะเฟดมีแนวโน้มสูงที่จะลดอัตราเร่งโครงการคิวอีและการชะลอขึ้นดอกเบี้ยออกไปก่อน

ในระยะสั้นมีการโยกย้ายเม็ดเงินเก็งกำไรเข้าสู่กลุ่มหุ้นที่ได้อานิสงส์ทางอ้อมจากการระบาด เช่น กลุ่มโรงพยาบาลและกลุ่มถุงมือยาง เป็นต้น แต่ไม่แนะนำนักลงทุนระยะกลาง-ยาวเข้าลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ เนื่องจากหากพิสูจน์ได้ว่าสายพันธุ์ใหม่นี้ไม่ได้น่ากลัวมากนัก ราคาหุ้นเหล่านี้มีโอกาสปรับตัวลงแรงได้ทันที สำหรับกลุ่มหุ้นที่ปลอดภัยทั้งการเก็งกำไรระยะสั้นและการลงทุนระยะกลาง เพื่อคาดหวัง Earnings momentum เชิงบวกที่แน่นอนไปยังกลุ่มหุ้นส่งออกสินค้าอาหาร เกษตรของไทย ไม่นับปัจจัยเงินบาทที่ยังอ่อนค่าอย่างมาก เลือก XO และ ASIAN เป็น Top pick ของกลุ่มต่อไป

ด้านบล.บัวหลวง เปรียบเทียบการแพร่ระบาดโควิดเดลต้าครั้งแรก เมื่อเดือนต.ค. 2563  ทำให้ดัชนี S&P 500 ทรุดลงถึง7% คาดโอไมครอนทำตลาดมีดาวน์โซด์ -5 ถึง-7%  แต่ลงมาแล้ว -2%