HoonSmart.com>>บล.ดีบีเอสฯคาดกำไรบจ.ไตรมาส 3 ร่วงลง 25% เทียบไตรมาส 2 มองข้ามชอร์ตเล่นหุ้นไตรมาส 4 และปี 65 เชียร์กลุ่มแบงก์- อสังหาริมทรัพย์-ค้าปลีกฟื้นเร็วตามเศรษฐกิจ อาหารได้ต้นทุนวัตถุดิบลดลง โรงพยาบาลแพงไปแล้ว เว้น BH,BDMS ส่วนบล.เมย์แบงก์แนะ JMART, JMT, DTAC, SNNP, HANA,KCE ธีมกลุ่มพาณิชย์ ขนส่งในประเทศ ท่องเที่ยว สื่อสารเด้งกลับ อิเล็กทรอนิกส์ขึ้นต่อ ด้านรับเหมาฯใหญ่ CK-STEC กำไรดีเกินคาด
วันที่ 16 ต.ค. ตลาดหุ้นเอเชียและยุโรปมีบวกและลบคละกัน ส่วนดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้น 5.28 จุด ปิดที่ 1,644 จุด ด้วยมูลค่าซื้อขาย 86,414 ล้านบาท ได้แรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติ 2,400.96 ล้านบาท และยังซื้อตราสารหนี้ 6,593 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนไทยขายหุ้น -3,806.52 ล้านบาท
ในช่วงนี้ตลาดหุ้นกังวลเรื่องธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วเกินคาด เห็นได้จากค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าแรงสู่ระดับ 95.5 จุด สูงสุดในรอบ 16 เดือน และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ 10 ปีเร่งตัวสู่ 1.6% กดดันการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง ขณะเดียวกันนักลงทุนรอดูผลการประชุมระหว่างผู้นำสหรัฐฯ-จีน ที่คาดหวังในทางบวก
อย่างไรก็ตามนักลงทุนหันเก็งกำไรหุ้นขนาดกลางและเล็ก รวมถึงหุ้นที่มีกำไรไตรมาสที่ 3/2564 ออกมาดีเกินคาดและแรงซื้อกลุ่ม Domestic play หลังเศรษฐกิจไตรมาส 3/64 สูงเกินคาด และปีหน้าคาดเติบโต 3.5-4.5% ตามปกติ
นางอาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล. ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า ดัชนีเคลื่อนไหวบริเวณ 1,650 จุด เลือกหุ้นลงทุนยาก อัพไซต์เหลือน้อย นักลงทุนจะต้องระมัดระวัง มี 2 ตัวแปรที่จะต้องจับตา คือการระบาดของโควิดระลอกใหม่ และผลของการลดคิวอีของธนาคารกลางสหรัฐจะส่งผลต่อตลาดอย่างไร ทั้งนี้ในยุโรป โควิดเริ่มกลับมาระบาดระลอกที่ห้า ประเทศเยอรมนี และเนเธอร์แลนด์ประกาศล็อกดาวน์อีกครั้ง
สำหรับหุ้นที่แนะนำการลงทุน เน้นกลุ่ม Domestic play ที่กำไรมีโอกาสเติบโตตามเศรษฐกิจ หลังผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาสที่ 3 ที่ผ่านมา โดยประมาณการว่าบจ.โดยรวมมีกำไรลดลงประมาณ 25% เทียบกับไตรมาสที่ 2 ซึ่งจะต้องมีการทบทวนประมาณการ เช่น กลุ่มพลังงานมีกำไรสต็อก บางแห่งมีกำไร-ขาดทุนอัตราแเลกเปลี่ยน
“ไตรมาส 3 เป็นจุดต่ำสุด แนวโน้มไตรมาสที่ 4 และปี 2565 ถ้าเป็นกลุ่มที่เชื่อมโยงเศรษฐกิจ มีโอกาสกำไรเป็นบวก อาทิ กลุ่มธนาคาร อสังหาริมทรัพย์ ค้าปลีก ส่วนท่องเที่ยว จะฟื้นกลับมาดีขึ้น แต่กำไรยังไม่ถึงก่อนช่วงโควิด และกลุ่มอาหารก็ดีขึ้น หลังต้นทุนวัตถุดิบเริ่มดีขึ้นตั้งแต่เดือนต.ค.ที่ผ่านมา” นางอาภาภรณ์ กล่าว
ส่วนกลุ่มการแพทย์ คาดว่ากำไรและราคาหุ้นผ่านจุดสูงสุดไปแล้วในไตรมาสที่ 3 แม้เกิดโควิดระลอกใหม่ก็ไม่ช่วยมากนัก เพราะวัคซีนทำให้อาการไม่รุนแรง ดังนั้นจึงต้องเลือกรายตัว แนะนำ BH, BDMS ซึ่งราคาและกำไรยังไม่ถึงก่อนเกิดโควิด ส่วนโรงพยาบาลที่เหลือราคาทะลุไปแล้ว
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล. เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ผลประกอบการบจ.ในไตรมาส 3/2564 ที่ประกาศออกมาลดลงตามที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากผลกระทบของโควิด-19 แต่กลุ่มธนาคารดีกว่าที่ตลาดคาดไว้ ส่วนกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่มโรงพยาบาล ผลประกอบการค่อนข้างดี ด้านกลุ่มสื่อสาร กลุ่มไฟแนนซ์ กลุ่มค้าปลีก ก็ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้
แนวโน้มในไตรมาส 4/2564 กลุ่มพาณิชย์ ขนส่งในประเทศ ท่องเที่ยว และสื่อสาร คาดว่ามีโอกาสจะฟื้นตัวกลับมาได้ หลังจากผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาส 3 ไปแล้ว ส่วนกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ยังมีโอกาสจะปรับตัวขึ้นได้ต่อ สำหรับการลงทุนจึงแนะนำหุ้นดังนี้ JMART, JMT, DTAC, SNNP, HANA และKCE
ด้านหุ้นรับเหมาก่อสร้างขนาดใหญ่ นักวิเคราะห์มองกำไรของ CK และ STEC ออกมาดีเกินคาด บล.โนมูระ พัฒนสิน แนะนำซื้อ CK ให้ราคาเป้าหมาย 26.50 บาท กำไรปกติไตรมาสที่ 3/2564 อยูที่ 275 บาท ลดลง 45% จากปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 57% จากไตรมาสที่ 2 เนื่องจากมีส่วนแบ่งกำไรของ CKP ที่เพิ่มขึ้นจากปริมาณน้ำที่มากตามไฮซีซั่น ซึ่งช่วยชดเชยผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19
“เรามอง outlook ธุรกิจก่อสร้างของ CK จะเริ่มฟื้นตัวในไตรมาส 4 จากการเร่งงานก่อสร้างหลังโควิด-19 คลี่คลาย และโครงการรัฐต่างๆที่จะทยอยเข้ามาต่อเนื่องถึงปี2566 มูลค่ากว่า 4.8 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นมาก เทียบกับปี 2563 และครึ่งปีแรกของ 2564 ประมาณ 1.5 แสนล้านบาท โดย CK เหมาะสำหรับซื้อสะสม เพื่อรองรับงานภาครัฐที่เร่งตัวขึ้นในอนาคต และได้รับผลดีจากการฟื้นตัวของกำไรปกติของ BEM ที่โตเฉลี่ย 125% ในช่วงปี 2565-2566 หลังผ่านวิกฤตที่คาดเป็นจุดต่ำสุดไปแล้ว”บล.โนมูระ พัฒนสินระบุ