MFC : “U.S. Inflation Hit 31-Year High in October”

 
 

Highlighted Funds

MGF : เรามองว่าหุ้นเติบโตจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าหุ้นคุณค่า ในช่วงกลางวัฏจักร (Mid-Cycle) และสามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่าตลาด โดยเฉพาะหุ้นเติบโตที่มีคุณภาพดี (Quality Growth Stock) เนื่องจากหุ้นประเภทนี้จะมีส่วนแบ่งทางการตลาดสูง ขณะเดียวกันก็มีกำไรและรายได้เติบโตสม่ำเสมอ

MRENEW : หุ้นในกลุ่มพลังงานสะอาดที่เป็นหนึ่งในธีมการลงทุนของกองทุนหลัก ราคาหุ้นได้มีการปรับตัวลง จนทำให้ปัจจุบันมี Valuation ที่น่าสนใจอีกครั้ง สังเกตได้จากค่า Forward P/E ของดัชนี S&P Global Clean Energy Index ที่เป็นดัชนีชี้วัดของหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด ที่ลงมาอยู่บริเวณค่าเฉลี่ยในรอบ 2 ปี

MEURO : นักวิเคราะห์คาดการณ์ ปี 2564 ตลาดหุ้นยุโรปจะมีการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS) สูงกว่าภูมิภาคอื่น มีกำไรเติบโตสูงถึง 55%YoY นอกจากนี้ Valuation ของตลาดหุ้นยุโรปยังถูกเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดย Relative Forward P/E ของดัชนี FTSE World Europe ex UK และดัชนี S&P500 ปัจจุบันอยู่ที่ -1S.D.

Investment Strategy

สหรัฐฯรายงานอัตราเงินเฟ้อเดือน ต.ค. ออกมาที่ 6.2%YoY ทำระดับสูงสุดในรอบ 31 ปี และเป็นการเพิ่มขึ้น 0.9% เมื่อเทียบกับเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา โดยสาเหตุหลักมาจากราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น ขณะเดียวกันเราเริ่มเห็นอัตราเงินเฟ้อที่กระจายไปยังอุตสาหกรรมอื่นๆมากขึ้น เช่น ค่าเช่าบ้าน, ค่าที่พักโรงแรม, ค่ารักษาพยาบาล, ราคารถยนต์มือสอง และร้านอาหาร ส่งผลให้ภาพของอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐฯย้ายจากภาคการผลิตไปสู่ภาคบริการที่เป็นโครงสร้างของเศรษฐกิจมากขึ้น ซึ่งการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อในกลุ่มสินค้าที่หลากหลาย ทำให้ตลาดกังวลถึงความเสี่ยงที่อัตราเงินเฟ้ออาจยังอยู่ในระดับสูงและนานกว่าที่คาด สะท้อนจาก Fed Funds Futures การคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยของเฟด จากเดิมที่ตลาดมองว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ย 2 ครั้ง ได้ขยับขึ้นมาเป็น 3 ครั้งในปี 2565

ปัจจุบันมีธนาคารกลางหลายประเทศทั่วโลกที่เริ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อที่สูงไปบ้างแล้ว เช่น ธนาคารกลางรัสเซีย บราซิล นิวซีแลนด์ ที่ขึ้นดอกเบี้ยไปเมื่อเดือน ต.ค. และล่าสุดคือ โปแลนด์ ในเดือน พ.ย.

อย่างไรก็ตามเรามองว่าการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดไม่ได้เป็นปัจจัยลบที่ส่งผลต่อการลงทุนในระยะยาวมากนัก เพราะในอดีตหลังวิกฤตซับไพร์มช่วงปี 2558-2561 เฟดเคยทำการขึ้นอัตราดอกเบี้ยจากระดับ 0.25% สู่ระดับ 2.5% ต่อเนื่องกันภายในระยะเวลา 3 ปี แต่ดัชนี NASDAQ 100 ที่เป็นตัวแทนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่กลับปรับตัวขึ้นมาตลอดทางโดยให้ผลตอบแทนกว่า 50% เรามองว่าในระยะยาวตลาดน่าจะให้น้ำหนักกับผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนมากกว่าการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด เราแนะนำให้ลงทุนในหุ้นเติบโตคุณภาพดีที่มีกำไรไม่ผันผวน และยังทนกับภาวะเศรษฐกิจในช่วงที่เงินเฟ้อและดอกเบี้ยเป็นขาขึ้นได้ดี นอกจากนี้ยังต้องติดตาม Fed Dot Plot ในการประชุมเฟดเดือน ธ.ค. ว่าเฟดจะมีการปรับเปลี่ยนมุมมองต่อการขึ้นดอกเบี้ยที่ Hawkish เพิ่มขึ้นหรือไม่