HoonSmart.com>>”คันทรี่ กรุ๊ป ดีเวลลอปเมนท์” ขาดทุน 909.79 ล้านบาท ไตรมาสที่ 3/64 เจอโควิดและขาดทุนเงินบาทอ่อนค่า 720 ล้านบาท มีทรัพย์สินพร้อมโอนเกือบ 15,000 ล้านบาท เร่งลดภาระหนี้ มีกระแสเงินสด เพิ่มความมั่นคงทางการเงิน มุ่งเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืน
บริษัท คันทรี่ กรุ๊ป ดีเวลลอปเมนท์ (CGD)รายงานผลงานไตรมาสที่ 3/2564 ขาดทุนสุทธิ 909.79 ล้านบาท เทียบกับปีก่อนขาดทุน 92.45 ล้านบาท รวม 9 เดือนปีนี้ขาดทุนทั้งสิ้น 1,500.35 ล้านบาทท ขณะที่ปีก่อนขาดทุน 426.92 ล้านบาท
บริษัทมีรายได้รวม 629.7 ล้านบาทในไตรมาสที่ 3 และจำนวน 2,654.5 ล้านบาทในช่วง 9 เดือน เพิ่มขึ้น 19.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน รายได้หลักจากการโอนและการรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่องของโครงการโฟร์ซีซั่นส์ ไพรเวท เรสซิเด้นซ์ และยังมีกำไรขั้นต้นในระดับสูง ท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ผันผวน บริษัทมีความมุ่งมั่นในการควบคุมต้นทุนและรักษาเสถียรภาพทางการเงินอย่างต่อเนื่อง
ส่วนธุรกิจโรงแรมได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 รอบใหม่ ภาครัฐออกมาตรการล็อกดาวน์ ทำให้การให้บริการของธุรกิจโรงแรมดำเนินการได้อย่างจํากัด รวมถึงมาตรการควบคุมค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้ถูกนํามาใช้ในช่วงเวลาดังกล่าวอย่างเหมาะสม
ส่วนเงินบาทอ่อนค่าในไตรมาส 3 ส่งผลต่อผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน จำนวน 720.1 ล้านบาท แต่เป็นเพียงการขาดทุนทางบัญชีเท่านั้นและไม่ส่งผลกระทบต่อกระแสเงินสดของบริษัท อย่างไรก็ดีค่าเงินบาทได้แข็งตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องภายหลังสิ้นไตรมาส บริษัทยังคงดำเนินตามแผนลดภาระหนี้ เพื่อลดต้นทุนทางการเงินและลดความเสี่ยงจากการผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนในอนาคต เพื่อจะสามารถใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินและแบรนด์ที่มีคุณภาพสูง สร้างรายได้ คาดว่าจะทำให้กลุ่มบริษัทมีผลประกอบการดีอย่างต่อเนื่องจากการทยอยรับรู้รายได้ในทรัพย์สินที่พร้อมโอนมูลค่าเกือบ 1.5 หมื่นล้านบาทในไตรมาสถัดๆ ไป
นาย เบน เตชะอุบล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คันทรี่ กรุ๊ป ดีเวลลอปเมนท์ กล่าวว่า บริษัทประสบความสำเร็จในขั้นแรกตามกลยุทธ์การเพิ่มความแข็งแกร่งเงินทุนและลดภาระหนี้ โดยได้ขายหุ้นจำนวน 51% ในบริษัท วอเตอร์ฟร้อนท์ โฮเต็ล และ บริษัท เออร์เบิน รีสอร์ท โฮเต็ล ให้กับบริษัท เบาด์ แอนด์ บียอนด์ เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 11 พ.ย. 2564 เพิ่มกระแสเงินสดทําให้บริษัทมีความพร้อมที่จะชําระหนี้ให้กับเจ้าหนี้ค่าก่อสร้างที่มีอยู่ โดยเป็นส่วนหนึ่งของแผนการเร่งลดภาระหนี้ที่มีเป้าหมายลดลงถึง 88% ซึ่งจะช่วยเพิ่มความมั่นคงของสถานะทางการเงินสำหรับการเติบโตในระยะยาว