“อมตะ” ลั่นยอดขายเข้าเป้า 925 ไร่ ชะลอปรับขึ้นราคาที่ดิน 5%

AMATA คงเป้ายอดขายที่ดินปีนี้ 925 ไร่ ล่าสุดยอดขายในประเทศอยู่ที่ 355 ไร่ พร้อมชะลอปรับราคาที่ดิน 5% รอความชัดเจนทิศทางราคาก่อน บุกลงทุนพัฒนานิคมฯในลาวและพม่า

นายวิบูลย์ กรมดิษฐ์ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่การตลาด บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน (AMATA) เปิดเผยว่า บริษัทยังคงเป้าหมายยอดขายที่ดินนิคมฯที่ 925 ไร่เท่าเดิม แบ่งเป็นที่ดินนิคมฯในประเทศไทย 800 ไร่ ซึ่งล่าสุดมียอดขายแล้ว 355 ไร่ และในช่วงที่เหลือของปีคาดว่ายอดขายจะเป็นตามเป้า ส่วนที่ดินนิคมฯในเวียดนาม ซึ่งตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 125 ไร่นั้น ขณะนี้มียอดขายได้แล้ว 30 ไร่ โดยช่วงครึ่งหลังของปีนี้จะพยายามทำยอดขายได้ตามเป้าหมาย

“ไตรมาส 3 และ 4 เป็นช่วงไฮซีซั่นของการขายที่ดิน ซึ่งเรามั่นใจว่ายอดขายที่ดินนิคมฯในไทยจะเป็นไปตามเป้าหมาย โดยขณะนี้มีลูกค้าหลายรายติดต่อขอซื้อที่ดินเข้ามา ส่วนใหญ่เป็นลูกค้ากลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ผู้ผลิตอาหาร เคมีภัณฑ์เกี่ยวกับอาหาร และเครื่องใช้ไฟฟ้า ในจำนวนนี้เป็นลูกค้ารายใหญ่ ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ที่ต้องการซื้อที่ดินหลายร้อยไร่”นายวิบูลย์กล่าว

วิบูลย์ กรมดิษฐ์

อย่างไรก็ตาม ในส่วนการปรับราคาขายที่ดินนิคมฯเพิ่มขึ้น 5% คงต้องชะลอไว้ก่อน เพื่อรอให้ทิศทางราคาที่ดินมีความชัดเจนมากกว่านี้ ขณะที่ปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอโอน (backlog) มูลค่า 1,850 ล้านบาท เป็นที่ดินนิคมฯในไทย 1,727 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะโอนได้ 30% ภายในปีนี้ และอีก 123 ล้านบาท เป็นยอดขายรอโอนที่นิคมฯในเวียดนาม ส่วนที่ดินรอขายและรอการพัฒนาในประเทศไทยอยู่ที่ 13,817 ไร่

นายวิบูลย์ กล่าวว่า เมื่อเร็วๆนี้ คณะกรรมการบริษัทอนุมัติงบ 200 ล้านบาท เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนพัฒนานิคมฯในพื้นที่ตอนเหนือของลาวและในพม่า ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปผลการศึกษาเบื้องต้นในช่วงต้นปีหน้า ทั้งนี้ การลงทุนพัฒนานิคมฯใน 2 ประเทศดังกล่าว จะสร้างโอกาสใหม่ๆให้กับบริษัท เนื่องจากแต่ละประเทศมีที่ดินให้พัฒนาเป็นหลักหมื่นไร่

นายวิบูลย์ ระบุว่า ครึ่งปีแรกบริษัทมีรายได้รวม 2,155 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับปีที่แล้วที่มีรายได้ 1,882 ล้านบาท เป็นรายได้จากการขายที่ดิน 802 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีรายได้ 623 ล้านบาท ส่วนรายได้ค่าบริการอยู่ที่ 885 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว รายได้ค่าเช่า 330 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว และรายได้อื่นได้อยู่ที่ 138 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 60% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยตัวเลขดังกล่าวสะท้อนได้ว่าบริษัทมีสัดส่วนรายได้ประจำเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง