ALT ปรับแผนปี 64 ต่อยอดธุรกิจโทรคมนาคม-บุกพลังงานทางเลือก

HoonSmart.com>>”เอแอลที” ปรับยุทธศาสตร์ปี64 ดันโครงข่ายสื่อสารข้ามแดนและใยแก้วนำแสงเป็นกลไกหลักให้บริการลูกค้า OTT ต่างประเทศ เปิดให้บริการไตรมาส2/65 รุกธุรกิจพลังงานทางเลือกและเมืองอัจฉริยะ พิษโควิดไตรมาส 3/64 รายได้แตะ 282.42 ล้านบาท ลด 43.7% แจงมี Backlog กว่า 1.3 พันล้านบาท เงินสดในมือ 532 ล้านบาท

นายสมบุญ เศรษฐ์สันติพงศ์ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานการเงินและบัญชี บริษัทเอแอลที เทเลคอม (ALT) เปิดเผยว่า ในปี 2564 บริษัทได้ปรับยุทธศาสตร์ เพื่อขยายฐานธุรกิจให้กว้างขึ้นไม่จำกัดอยู่แค่โครงสร้างพื้นฐานสำหรับกิจการด้านโทรคมนาคม แต่จะต่อยอดการใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคมที่มีอยู่ เพื่อให้บริการแก่กิจการต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงขยายบริการไปถึงลูกค้าในต่างประเทศ

โดยธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคม โครงข่ายไฟเบอร์ใยแก้วนำแสง บริษัทได้วางโครงข่ายหลัก ลงทุนครอบคลุมพื้นที่ทั่วทั้งประเทศเรียบร้อยแล้ว รวมถึงมีการสร้างสถานีฐานเพื่อเชื่อมต่อกับโครงข่ายของผู้ประกอบการในประเทศเพื่อนบ้าน ทั้ง เมียนมาร์ ลาว กัมพูชา และมาเลเซีย โดยลงทุนผ่านกิจการร่วมค้า คือบริษัท สมาร์ท อินฟราเนท (SIC) และ บริษัท อินฟอร์เมชั่น ไฮเวย์ (IH) เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าภายในประเทศ และลงทุนผ่าน บริษัทย่อย คือ บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล เกทเวย์ (IGC) เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าในต่างประเทศ รวมถึงลงทุนผ่าน บริษัทร่วมคือ เมียนมาร์ อินฟอร์เมชั่น (MIH) ให้บริการอินเทอร์เน็ตในเมืองย่างกุ้ง

นายสมบุญกล่าวว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ความต้องการใช้งานอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นอย่างมากโดยเฉพาะในเมียนมาร์เพิ่มสูงขึ้นกว่า 30% บริษัทได้ตั้งเป้าส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็น ASEAN Digital Hub จากความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ของไทยที่มีความเหมาะสมในการเป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่อของภูมิภาคอาเซียนผ่านระบบเคเบิลใยแก้วนำแสงภาคพื้นดินและระบบเคเบิลใต้น้ำ

ทั้งนี้โครงการระบบเคเบิลใต้น้ำที่ IGC เข้าไปมีส่วนร่วมให้บริการเป็นโครงการร่วมกันระหว่างผู้ให้บริการด้านโทรคมนาคมและOTT (Over The Top) มีความยาวกว่า 8,000 กิโลเมตร คาดว่าจะก่อสร้างในส่วนโครงสร้างหลักของสถานีเชื่อมต่อเคเบิลใต้น้ำเสร็จพร้อมรับรู้รายได้ในไตรมาส 2 ปี 2565

ทั้งนี้ ALT ตั้งเป้าให้ IGC เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ธุรกิจและได้เริ่มให้บริการแก่ลูกค้าต่างประเทศในระดับ World Class ซึ่งเป็นผู้ให้บริการแนวหน้าในกลุ่มอุตสาหกรรมประเภท OTT โดยมีสัญญาให้บริการระยะยาวทั้งการให้บริการโครงข่ายโทรคมนาคมและบริการสถานีเชื่อมต่อเคเบิลใต้น้ำในพื้นที่จังหวัดสตูล ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในธุรกิจให้บริการระบบเคเบิลใต้น้ำที่ได้รับความไว้วางใจและเชื่อมั่นในประสิทธิภาพโครงข่ายโทรคมนาคมของบริษัท

ด้านธุรกิจพลังงานอัจฉริยะ (Smart Grid & Smart Energy) จากงานให้บริการวางระบบและติดตั้งโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรีให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ซึ่งเป็นโครงการนำร่องของประเทศไทยและมีความเป็นไปได้สูงที่รัฐจะขยายให้ครอบคลุมหัวเมืองสำคัญทั่วทั้งประเทศ จึงเป็นธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตสูง

นอกจากนี้บริษัทได้ขยายธุรกิจเข้าสู่ธุรกิจบริการจัดการพลังงาน โดยลงทุนและติดตั้งระบบและอุปกรณ์ Solar Rooftop ให้กับภาครัฐและภาคเอกชน บริษัทได้รับค่าตอบแทนเป็นค่าบริหารจัดการพลังงาน ซึ่งมีราคาถูกว่าค่ากระแสไฟฟ้าที่ลูกค้าต้องจ่าย และมีส่วนร่วมในการรักษาสิ่งแวดล้อม

ส่วนธุรกิจเมืองอัจฉริยะ (Smart City) บริษัทได้นำสายไฟฟ้าและสายสื่อสารลงใต้ดินเพื่อให้เมืองมีความสวยงามและปลอดภัย โดยบริษัทจะมีการติดตั้งเสาไฟอัจฉริยะ (Smart Pole) รองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ รวมถึงเป็นจุดชาร์จไฟสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า เช่นเดียวกับธุรกิจแพลตฟอร์มอัจฉริยะพัฒนาซอฟท์แวร์เพื่ออ่านป้ายทะเบียนรถยนต์

นายสมบุญยังกล่าวถึงผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2564 ว่าบริษัทมีรายได้รวม 282.42 ล้านบาท ลดลง 43.7% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 501.59 ล้านบาท โดยเป็นการลดลงของธุรกิจจำหน่ายสินค้าและงานบริการรับเหมาติดตั้งวางระบบ 86.9% และ 43.6% ตามลำดับ ขณะที่รายได้จากการให้บริการโครงข่ายมียอดเพิ่มขึ้น 18.4% เป็น 86.31 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ 72.91ล้านบาท ซึ่งยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตามผลการดำเนินการในไตรมาส3/64 บริษัทขาดทุนสุทธิ33.50ล้านบาท เทียบกับกำไรสุทธิ67.25ล้านบาทในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ขณะที่มีงานในมือ (Backlog) จำนวน 1,347ล้านบาท

“สิ้นไตรมาส 3/2564 บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนลดลงเหลือ 0.70 เท่า จาก 0.75 เท่าเมื่อเทียบกับ สิ้นปี 2563 ขณะที่สภาพคล่องของบริษัทยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี มีเงินสดในมือ 532.25 ล้านบาท” นายสมบุญกล่าว