TOP โชว์กำไร 2 พันลบ. Q3/64 เติบโต 188%

HoonSmart.com>> “ไทยออยล์” เปิดกำไรไตรมาส 3/64 จำนวน 2,063 ล้านบาท โตแรง 188% จากงวดปีก่อน กวาดรายได้จากการขายเฉียด 8 หมื่นล้านบาท เติบโต 40% รับราคาขายเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ กำไรสต๊อกน้ำมัน หนุนงวด 9 เดือนกำไร 7,545 ล้านบาท รายได้พุ่งแตะ 2.41 แสนล้านบาทและรับรู้กำไรจากสต๊อกน้ำมัน 1.2 หมื่นล้านบาท

บริษัท ไทยออยล์ (TOP) เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2564  มีกำไรสุทธิ 2,062.67 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 1.01 บาท เพิ่มขึ้น 188.37% จากงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 715.29 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.35 บาท

ส่วนงวด 9 เดือน ปี 2564 กำไรสุทธิ 7,545.35 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 3.70 บาท พลิกจากจากงวดเดียวกันของปีก่อนขาดทุนสุทธิ 10,558.84 ล้านบาท ขาดทุนต่อหุ้น 5.18 บาท

บริษัทฯ มีรายได้จากการขายในไตรมาส 3/2564 จำนวน 79,960 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22,843 ล้านบาท หรือ 40% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ตามราคาขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ และมีกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มไม่รวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมันเพิ่มขึ้น 4.5 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล สาเหตุหลักจากส่วนต่างราคาน้ำมันเบนซินและน้ำมันอากาศยาน/น้ำมันก๊าดกับน้ำมันดิบดูไบดีขึ้น จากความต้องการใช้น้ำมันเบนซินในช่วงฤดูกาลขับขี่ที่เพิ่มขึ้น หลังหลายประเทศมีมาตรการผ่อนคลายการจำกัดการเดินทางจากความคืบหน้าของการฉีดวัคซีนต้านไวรัสโควิด 19 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุโรปและสหรัฐฯ ประกอบกับอุปทานน้ำมันเบนซินที่ตึงตัวจากพายุเฮอริเคนไอดา รวมถึงจำนวนเที่ยวบินระหว่างประเทศทั่วโลกที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น

นอกจากนี้ ส่วนต่างราคาน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานกับน้ำมันเตาปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากจากอุปทานที่ตึงตัวต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปี 2563 ส่วนต่างราคาสารเบนซีนกับน้ำมันเบนซิน 95 ก็ปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากอุปสงค์โดยรวมที่ปรับสูงขึ้นจากปีที่ผ่านมา ขณะที่ธุรกิจผลิตสารตั้งต้นสำหรับผลิตภัณฑ์สารทำความสะอาดก็มีกำไรขั้นต้นสูงขึ้นจากอุปสงค์ของสาร LAB ที่ยังคงดีอย่างต่อเนื่องและอุปทานยังตึงตัว

นอกจากนี้ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นส่งผลให้กลุ่มไทยออยล์มีกำไรจากสต๊อกน้ำมันเพิ่มขึ้น 929 ล้านบาทจากไตามาส 3/2563 และมีรายการปรับลดมูลค่าสินค้าคงเหลือน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูป 280 ล้านบาท เทียบกับการกลับรายการมูลค่าสินค้าคงเหลือน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูป 378 ล้านบาทใน Q3/63 เมื่อรวมกับผลขาดทุนจากเครื่องมือทางการเงินที่เกิดขึ้นจริงสุทธิ 479 ล้านบาท เทียบกับกำไรจากเครื่องมือทางการเงินที่เกิดขึ้นจริงสุทธิ 144 ล้านบาทในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้มี EBITDA เพิ่มขึ้น 2,965 ล้านบาท

ในไตรมาส 3/2564 กลุ่มไทยออยล์มีผลขาดทุนจากการวัดมูลค่ายุติธรรมเครื่องมือทางการเงินเพิ่มขึ้น 1,462 ล้านบาทและมีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิเพิ่มขึ้น 770 ล้านบาท ขณะที่มีต้นทุนทางการเงินลดลง 221 ล้านบาท

สำหรับผลการดำเนินงานงวด 9 เดือน ปี 2564 มีรายได้จากการขาย 231,530 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 48,598 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักจากราคาขายผลิตภัณฑ์ที่ปรับเพิ่มขึ้น แต่มีปริมาณวัตถุดิบที่ป้อนเข้าสู่กระบวนการผลิตของกลุ่มลดลงจากการปรับแผนการผลิตให้สอดคล้องกับสภาพตลาดที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19

ทั้งนี้จากส่วนต่างราคาน้ำมันเบนซินกับน้ำมันดิบดูไบ ส่วนต่างราคาน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานกับน้ำมันเตา และส่วนต่างราคาสารเบนซีนกับน้ำมันเบนซิน 95 ที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก รวมถึงกำไรขั้นต้นของกลุ่มธุรกิจผลิตสารตั้งต้นสำหรับผลิตภัณฑ์สารทำความสะอาดที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้กำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มไม่รวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมันเพิ่มขึ้น 2.9 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 4.9 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในงวด 9 เดือนปี 2564

นอกจากนี้ยังมีกำไรจากสต๊อกน้ำมัน 12,354 ล้านบาท เทียบกับผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน 9,190 ล้านบาทในงวด 9 เดือน ปี 2563

อย่างไรก็ตาม มีรายการปรับลดมูลค่าสินค้าคงเหลือน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูป 242 ล้านบาท ลดลง 390 ล้านบาทจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา เมื่อรวมผลขาดทุนจากเครื่องมือทางการเงินที่เกิดขึ้นจริงสุทธิ 654 ล้านบาท ส่งผลให้กลุ่มไทยออยล์มี EBITDA 22,060 ล้านบาท เทียบกับผลขาดทุน EBITDA 5,549 ล้านบาทในงวด 9 เดือน ปี 2563

กลุ่มไทยออยล์มีผลขาดทุนจากการวัดมูลค่ายุติธรรมเครื่องมือทางการเงิน 2,256 ล้านบาท และมีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิ 5,118 ล้านบาทจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าอย่างมีนัยสำคัญในปีนี้เมื่อหักต้นทุนทางการเงิน 2,637 ล้านบาท ซึ่งลดลง 616 ล้านบาทจากการรวมต้นทุนการกู้ยืมเป็นส่วนหนึ่งของราคาทุนของสินทรัพย์ ค่าเสื่อมราคาและค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้แล้ว