HoonSmart.com>> TMBAM Eastspring และ Thanachart Fund Eastspring แนะเริ่มทยอยเก็บหุ้นจีน หลังผ่านช่วงปรับฐานครั้งใหญ่ในปีนี้ เน้นกระจายความเสี่ยงด้วยการลงทุนในทุกกลุ่มอุตสาหกรรม เชื่อจะทำให้พอร์ตลงทุนผันผวนน้อยลง ด้าน “นักวิชาการมอง” กลุ่มเทคโนโลยีจีนยังแข็งแกร่ง เชื่อการปฏิรูปประเทศของจีนส่งผลดีระยะยาว
TMBAM Eastspring และ Thanachart Fund Eastspring จัดงานสัมมนาออนไลน์ในหัวข้อ ปรับพอร์ตหุ้นจีนอย่างไร เมื่อ “มังกร” รุกเกมใหม่
ดร.อาร์ม ตั้งนิรันดร รองคณบดีคณะนิติศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์จีนศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การเข้าควบคุมบริษัทเทคโนโลยีในจีนว่ามีนัยยะที่เกี่ยวพันกับความปลอดภัยของข้อมูลและความเป็นมหาอำนาจในโลกปัจจุบัน ทำให้รัฐบาลจีนต้องมีมาตรการซึ่งได้ส่งผลกระทบค่อนข้างมากต่อบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ โดยสาเหตุที่ภาครัฐใช้โอกาสในช่วงที่สถานการณ์โควิดเริ่มคลี่คลายนี้เพื่อปฏิรูประบบประเทศเพราะรัฐบาลจีนสามารถจัดการเรื่องโควิดได้ดีทั้งมิติในด้านเศรษฐกิจและสาธารณสุข รักษาการเติบโตของเศรษฐกิจได้ดีแม้การเติบโตจะชะลอลงไปบ้างซึ่งคาดว่า GDP จะเติบโตอยู่ที่ราวๆ 6% ต่อปี รวมถึงในเดือน พ.ย. ปีหน้า จะมีการประชุมพรรคคอมมิวนิสต์เพื่อเลือกผู้นำจีนคนใหม่ ทำให้การจัดการเรื่องดังกล่าวมีมิติเรื่องการเมืองเข้ามามีส่วนด้วย
“ในมุมมองส่วนตัวคิดว่าการจัดระเบียบไม่ได้หมายถึงการที่จะไม่พัฒนาเทคโนโลยีไปข้างหน้า ความแข็งแกร่งในกลุ่มเทคโนโลยีในจีนไม่ได้เปลี่ยนไป ยังสามารถพัฒนาได้อย่างแข็งแกร่ง การปฏิรูปจะเป็นผลที่ดีมากในระยะยาว” ดร.อาร์ม กล่าว
ดร. อาร์ม ยังให้มุมมองในประเด็นเรื่องการจัดระเบียบอสังหาริมทรัพย์ว่า การจัดการที่เกิดขึ้นจะเป็นการเปลี่ยนโมเดลเศรษฐกิจในระยะยาว ทำให้ภาคอสังหาริมทรัพย์น่าจะไม่เติบโตหวือหวาเหมือนในอดีต แต่ก็มั่นใจว่าไม่เกิดฟองสบู่แตกจนเกิดเป็นวิกฤตเศรฐกิจอย่างในประเทศอื่นๆที่เคยเกิดขึ้นแน่นอน สำหรับเรื่องวิกฤตพลังงานและพลังงานสะอาด เชื่อว่ามีผลกระทบระยะสั้นโดยจะเบาบางและคลี่คลายได้ในที่สุด การฟื้นจากโควิดทำให้ความต้องการใช้พลังงานสูงกว่าปกติ ประกอบกับฤดูหนาวซึ่งปกติความต้องการใช้พลังงานจะสูงกว่าช่วงอื่น นอกจากนั้นยังเป็นช่วงที่รัฐบาลจีนออกนโยบายลดการใช้ถ่านหิน เป็นต้น
ด้านนายบดินทร์ พุทธอินทร์ ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน TMBAM Eastspring กล่าวว่า ในรอบปี 2564 มีปัจจัยหลายอย่างที่กดดันการลงทุนในตลาดการเงินและการลงทุนของจีน อย่างไรก็ตาม การปรับตัวลงของตลาดหุ้นจีนในระดับกว่า 30% เป็นเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง ซึ่งนับตั้งแต่วิกฤติซับไพรม์ปี 2551 เป็นต้นมา การปรับฐานที่ลงลึกแต่ละครั้งจะอยู่ที่ระดับประมาณ 30-35% ก่อนจะเริ่มปรับตัวเป็นขาขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าใกล้เคียงปัจจุบันมาก
ประกอบกับภาพในปีหน้านักวิเคราะห์ยังคงมองการเติบโตของบริษัทในจีนที่น่าสนใจและมีอัตราการเติบโตของกำไรมากกว่าหุ้นโลกและหุ้นในแถบเอเชีย ทำให้เชื่อได้ว่าจังหวะนี้มีความน่าสนใจในการเริ่มทยอยเข้าลงทุนในจีนหลังจากที่ปรับฐาน
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผู้ลงทุนต้องมีการประเมินพอร์ตลงทุนของตัวเองด้วย หากว่ารับความเสี่ยงได้ไม่สูงมากนัก ควรมีหุ้นจีนในพอร์ตไม่เกิน 5-10% แต่หากสามารถรับความเสี่ยงได้ในระดับกลางไม่ควรมีเกิน 10-15% และหากรับความเสี่ยงได้สูงมาก ทีมกลยุทธ์ก็ยังแนะนำให้มีหุ้นจีนได้ไม่เกิน 15-20% เพื่อไม่ให้เป็นการลงทุนที่กระจุกตัวมากจนเกินไป
นายพงศ์สรร ยอดเมืองเจริญ ผู้อำนวยการส่วนบริหารผลิตภัณฑ์ TMBAM Eastspring กล่าวว่า ช่วงกลางเดือนพ.ย.นี้ ทีมจะมีการปรับกลยุทธ์การลงทุนของ TMB-ES –CHINA-A และ T-ES -CHINA A จากที่เน้นลงทุน UBS China A Opportunity เกือบเต็มจำนวนทั้งหมด จะมีการปรับเหลือสัดส่วนลงทุนประมาณ 80-85% โดยอีก 15-20% ทีมผู้จัดการกองทุนเข้าลงทุนใน Eastspring China A Growth Fund เพื่อกระจายการลงทุนให้หลากหลายขึ้น
กองทุนใหม่นี้มีผลตอบแทนที่โดดเด่นโดยเฉพาะในรอบปีสองปีที่ผ่านมา กองทุนจะเน้นลงทุนในหุ้นจีนที่จดทะเบียนในแผ่นดินใหญ่ที่มีการเติบโตที่ดี โดยผู้จัดการกองทุนจะใช้การวิเคราะห์แบบ Top Down และ Bottom Up ในการคัดเลือกหลักทรัพย์เข้าลงทุน โดยพอร์ตปัจจุบัน ณ ก.ย.2564 กองทุนนี้จะให้น้ำหนักในกลุ่มเทคโนโลยี 20.5% และกลุ่มอุตสาหกรรม 15.5% ตามลำดับ ถือเป็นการเสริมแรง โดยการแบ่งสัดส่วนการลงทุนใหม่ในอัตราไม่เกิน 20% นี้สามารถทำได้เพื่อประโยชน์ของผู้ลงทุน เป็นไปตามนโยบายที่ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวน