IVL ฟาดกำไร 6.5 พันล้าน Q3 คาดดีขึ้นมากต่อเนื่องถึงปี 65

HoonSmart.com>>”อินโดรามา เวนเจอร์ส” เปิดกำไรแข็งแกร่งไตรมาสที่ 3/64  รวม 9 เดือนกำไรหลักพุ่ง 50% แนวโน้มไตรมาสที่ 4 และปี 2565 ไปได้สวย ความต้องการทุกผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้น ราคาขายดี เอื้อเติบโตระยะยาว

บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส (IVL) เปิดผลการดำเนินงานงวดไตรมาสที่ 3/2564 มีกำไรสุทธิ 6,548 ล้านบาท พุ่งขึ้นถึง 1,623% เทียบกับกำไรสุทธิเพียง 380 ล้านบาทช่วงเดียวกันปีก่อน แต่ลดลง 21.48% จากไตรมาสที่ 2/2564 มีกำไรสุทธิ 8,339 ล้านบาท และรวม 9 เดือนปีนี้กำไรทั้งสิ้น 20,896 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,083% ขณะที่ระยะเดียวกันปีก่อนมีกำไรสุทธิ 957.92 ล้านบาท

บริษัทรายงานผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในไตรมาสที่ 3/2564 โดยมี Core EBITDA เท่ากับ 437 ล้านเหรียญสหรัฐ (ไม่รวมรายการพิเศษผลการขาดทุนของ IVOL 11 ล้านเหรียญสหรัฐสุทธิจากรายได้จากการประกันภัยจากธุรกิจหยุดชะงัก 8.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ) และปริมาณการผลิต 3.73 ล้านตัน  รวม 9 เดือนมีผลงาน  1,281 ล้านเหรียญสหรัฐหรือเพิ่มขึ้น 50%  เมื่อเทียบปีต่อปี ด้วยรูปแบบการดำเนินงานแบบบูรณาการ การมีห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาคที่หลากหลายและมุ่งเน้นที่ผลิตภัณฑ์ ทำให้บริษัทรายงานผลการดำเนินที่ยอดเยี่ยม ปัจจุบัน บริษัทมี 3 กลุ่มธุรกิจหลกัที่แข็งแกร่ง ซึ่งแต่ละธุรกิจมีคุณลักษณะเฉพาะที่แตกต่างและมีโอกาสในการเติบโตที่น่าสนใจ

แนวโน้มในช่วงสิ้นปีและปี 2565 บริษัทคาดการณ์ว่าความต้องการในสินค้าของบริษัทจะเพิ่มมากขึ้นในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์  ซึ่งเป็นผลจากการปรับตัวที่ดีขึ้นของเศรษฐกิจ ทั้งนี้ Lake Charles Cracker (IVOL) ที่กำลังจะเริ่มดำเนินงาน ส่งผลให้กลุ่มธุรกิจ IOD จะสามารถสร้างผลกำไรเพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ 4 และปี 2565 รวมท้ั้งบริษัทยังมีข้อได้เปรียบของ Shale Gas อัตราส่วนกำไร MTBE บางส่วนปรับตัวดีขึ้นจากความต้องการที่มากขึ้นในลาตินอเมริกา บริษัทคาดการณ์ว่าราคาของบิวเทนจะยังคงสูงอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงฤดูหนาว

สำหรับความท้าทายของบริษัท เกิดจากราคาที่สูงขึ้นของพลังงานในตลาดโลก ความท้าทายถัดมาคือการขาดแคลน semiconductor ที่ยังคงมีอยู่ ซึ่งกระทบต่อผลิตภัณฑ์ Mobility fibers ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ Lifestyle fibers มีการปรับตัวที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในภูมิภาคเอเชียจากความผ่อนคลายของสถานะการณ์โควิดและผลิตภัณฑ์ Hygiene fibers จะได้รับประโยชน์จากการย้อนกลับของผลลบของการส่งผ่านราคาที่ล่าช้า สำหรับห่วงโซ่อุปทานจะยังคงได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนสาธารณูปโภคด้านการขนส่งจากผู้ผลิตไปถึงผู้บริโภค ค่าขนส่งที่ยังอยู่ในระดับสูง เมื่อรวมกับอุปสงค์ที่แข็งแกร่ง ปริมาณสินค้าคงเหลือที่ต่ำและอัตรากำไรที่สูงในตลาดตะวันตก เป็นปัจจัยที่ดีสำหรับกลุ่มธุรกิจ CombinedPET ในไตรมาสที่ 4  บริษัทจะสามารถเรียกเก็บค่าใช้จ่ายส่วนเพิ่ม เนื่องจากต้นทุนของพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น

นอกจากนี้ อัตรากำไร PTA ในประเทศสหรัฐอเมริกาจะเพิ่มขึ้น ส่งผลบวกต่อภูมิภาคนี้ในปี 2565  สำหรับไตรมาส 4 จะเริ่มได้รับประโยชน์จากแรงสนับสนุนเหล่านี้และการทำข้อตกลงในสัญญาการขายใหม่จะส่งผลบวกต่อปี 2565 โดยรวมแล้ว บริษัทมองว่าในช่วงไตรมาสที่ 4 และปี 2565 จะมีผลการการดำเนินงานที่ดีขึ้นเป็นอย่างมากในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ของบริษัท