HoonSmart.com>> “ราช กรุ๊ป” เซ็นสัญญาซื้อหุ้น “สหโคเจน (ชลบุรี)” จากผู้ถือหุ้นเดิม 40.29% พร้อมซื้อหุ้นเพิ่มทุน PP หนุนถือหุ้นรวม 51% มูลค่ากว่า 3.4 พันล้านบาท หวังผนึกความร่วมมือกลุ่มสหพัฒน์ เสริมสร้างธุรกิจผลิตไฟฟ้าและโครงการอื่นๆ ในอนาคต เตรียมทำเทนเดอร์หุ้นที่เหลือ 49% ราคา 5.75 บาท/หุ้น
บริษัท ราช กรุ๊ป (RATCH) เปิดเผยว่า บริษัทได้เข้าทำสัญญาซื้อหุ้นในบริษัท สหโคเจน (ชลบุรี) หรือ SCG จากผู้ถือหุ้น SCG จำนวน 34 ราย ซึ่งรวมถึงบริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง (SPI) รวมทั้งสิ้น 384.79 ล้านหุ้น คิดเป็น 40.29% ของหุ้นทั้งหมด ก่อนการออกและจัดสรรหุ้นเพิ่มทุน ในราคาหุ้นละ 5.75 บาท คิดเป็นเงิน 2,212.54 ล้านบาท และจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน SCG อีกจำนวน 208.69 ล้านหุ้น สัดส่วน 17.93% ที่จัดสรรให้แก่บุคคลในวงจำกัด (PP) ในราคาหุ้นละ 5.75 บาท รวมทั้งสิ้น 1,199.99 ล้านบาท
ภายหลังการเข้าทำธุรกรรม บริษัทฯ จะได้หุ้น SCG ทั้งสิ้น 593.48 ล้านหุ้น คิดเป็น 51% ของหุ้นทั้งหมด ส่งผลให้ SCG มีสถานะเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ
การเข้าลงทุนในครั้งนี้ เพื่อสร้างพันธมิตรทางธุรกิจที่แข็งเเกร่งระหว่างบริษัทฯ และกลุ่มสหพัฒน์ ที่จะยังคงสัดส่วนการถือหุ้นใน SCG อย่างมีนัยสำคัญ ผนึกกำลังกันเสริมสร้างธุรกิจผลิตไฟฟ้าของ SCG ให้มีความแข็งแกร่งและเติบโตอย่างยั่งยืนเต็มศักยภาพต่อไป รวมทั้ง ยังเป็นการเปิดโอกาสเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถในโครงการอื่นๆ ในอนาคต
นอกจากนี้การลงทุนเป็นไปตามเป้าหมายการเพิ่มกำลังการผลิตรวมของบริษัทฯที่ 10,000 เมกะวัตต์ และมูลค่ากิจการรวม 200,000 ล้านบาท ภายในปี 2568 และสอดคล้องกับกลยุทธ์การเติบโตอย่างยั่งยืนทั้งในธุรกิจผลิตไฟฟ้า ระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน และธุรกิจเกี่ยวเนื่องอื่นๆ ต่อไป โดยบริษัทฯ จะใช้เงินกู้ หรือเงินทุนหมุนเวียนในบริษัทฯ เพื่อเป็นทุนสำหรับการเข้าลงทุนในครั้งนี้
บริษัทฯ มีหน้าที่ต้องทำคำเสนอซื้อหุ้นที่เหลือทั้งหมด(เทนเดอร์ออฟเฟอร์) ของ SCG เป็นจำนวนทั้งสิ้น 570.21 ล้านหุ้น คิดเป็น 49% ของหุ้นที่ออกและจำหน่ายได้แล้ว ในราคา 5.75 บาท โดย SCG ไม่มีหลักทรัพย์แปลงสภาพแต่อย่างใด
ด้านบริษัท สหโคเจน (ชลบุรี) เปิดเผยว่า บริษัทฯ จะนําเงินที่ได้รับจากการเพิ่มทุนในครั้งนี้ส่วนหนึ่งเพื่อใช้ในการลงทุนเพื่อขยายกําลังผลิตในโครงการผลิตไฟฟ้าทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ เพื่อสร้างการเติบโตในส่วนของกําลังผลิตรวมถึงรายได้และผลกําไรโดยคํานึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของบริษัทฯ ในระยะยาวซึ่งจะขึ้นอยู่กับโอกาสในการพัฒนาธุรกิจและการลงทุนภายหลังจากการเกิดรายการ จำนวนเงินลงทุนประมาณ 900-1,000 ล้านบาท ภายในปี 2565 – 2567 และอีกส่วนหนึ่งประมาณ 200-300 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการภายในไตรมาส 4 ปี 2564 เพื่อเพิ่มความเข็งแกร่งของฐานะทางการเงินของบริษัทฯ
การที่ RATCH ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นําธุรกิจผลิตไฟฟ้าชั้นนําของประเทศและมีความเชี่ยวชาญในธุรกิจไฟฟ้าเป็นอย่างดีเข้ามาเป็นผู้ถืออย่างมีนัยสําคัญของบริษัทฯนั้น จะส่งเสริมศักยภาพ ในด้านความมั่นคงของการดําเนินงานของบริษัทฯ รวมถึงเสริมสร้างโอกาสในการเติบโตผ่านการขยายการลงทุนในโครงการใหม่ หรือ synergies อื่นๆ ที่เป็นไปได้ในอนาคต
การเพิ่มทุนในครั้งนี้จะเป็นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งและความมั่นคงให้แก่ฐานะทางการเงินของบริษัทฯ ในช่วง 6 เดือนแรกปี 2564 บริษัทฯ มีภาระหนี้สิ้นที่มีดอกเบี้ยอยู่ประมาณ 3,060.07 ล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนที่ 1.098 เท่า โดยบริษัทฯ ยังคงมีภาระที่จะต้องลงทุนเพิ่มเติมในธุรกิจผลิตไฟฟ้าในสวนอุตสาหกรรมเครือสหพัฒน์ ศรีราชาเป็นจํานวนมากในระยะเวลา 2-3 ปีข้างหน้า ดังนั้นการเพิ่มทุนในครั้งนี้จะทําให้สถานะทางการเงินของบริษัทฯ มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น โดยคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนภายหลังการเพิ่มทุนจะลดลงเหลือเพียง 0.767 เท่า
ทั้งนี้สถานะการเงินที่มั่นคงยิ่งขึ้นยังเปิดโอกาสในการลงทุนเพื่อการเติบโตจากโครงการผลิตไฟฟ้าอื่นอีกด้วยในอนาคต
ราคาหุ้น SCG กระโดดขึ้นซิลลิ่งและปิดที่ระดับ 6.85 บาท เพิ่มขึ้น 1.55 บาท คิดเป็น +29.25%