MFC : Company Earnings In The Spotlight

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดัชนี S&P 500 ปรับตัวเพิ่มขึ้นติดต่อกันจนดัชนีทำจุดสูงใหม่ โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากตัวเลขผลประกอบการไตรมาส 3 ที่ประกาศออกมาดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาด

ปัจจุบันมีบริษัทจดทะเบียนในดัชนี S&P500 รายงานงบการเงินออกมาแล้ว 117 บริษัท และกว่า 84% ของบริษัทที่รายงานงบการเงินออกมามีกำไรมากกว่าคาด

นักลงทุนรอติดตามผลประกอบการหุ้นกลุ่ม Big Tech อย่าง Facebook, Alphabet, Twitter และ Apple ที่จะมีคิวรายงานงบการเงินในสัปดาห์นี้

อัตราผลตอบแทนหุ้นกู้เอกชน (High Yield Bond) ของจีนปรับตัวลดลงจากระดับสูงสุด 20% ในช่วงต้นเดือน ต.ค. สู่ระดับ 17% หลังจากที่ Evergrande ชำระดอกเบี้ยหุ้นกู้มูลค่า 83.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ได้ทัน ระยะเวลาผ่อนผัน 30 วัน

 
 
Highlighted Funds

MGF : เรามองว่าหุ้นเติบโตจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าหุ้นคุณค่า ในช่วงกลางวัฏจักร (Mid-Cycle) และสามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่าตลาด โดยเฉพาะหุ้นเติบโตที่มีคุณภาพดี (Quality Growth Stock) เนื่องจากหุ้นประเภทนี้จะมีส่วนแบ่งทางการตลาดสูง ขณะเดียวกันก็มีกำไรและรายได้เติบโตสม่ำเสมอ

MRENEW : หุ้นในกลุ่มพลังงานสะอาดที่เป็นหนึ่งในธีมการลงทุนของกองทุนหลัก ราคาหุ้นได้มีการปรับตัวลง จนทำให้ปัจจุบันมี Valuation ที่น่าสนใจอีกครั้ง สังเกตได้จากค่า Forward P/E ของดัชนี S&P Global Clean Energy Index ที่เป็นดัชนีชี้วัดของหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด ที่ลงมาอยู่บริเวณค่าเฉลี่ยในรอบ 2 ปี

MEURO : นักวิเคราะห์คาดการณ์ ปี 2564 ตลาดหุ้นยุโรปจะมีการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS) สูงกว่าภูมิภาคอื่น มีกำไรเติบโตสูงถึง 55%YoY นอกจากนี้ Valuation ของตลาดหุ้นยุโรปยังถูกเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดย Relative Forward P/E ของดัชนี FTSE World Europe ex UK และดัชนี S&P500 ปัจจุบันอยู่ที่ -1S.D.

MCBOND : ตราสารหนี้ภาคเอกชนจีนยังมีอัตราผลตอบแทน (Yield) สูงกว่าตราสารหนี้ภาคเอกชนสหรัฐฯ และมีความสัมพันธ์กับตราสารหนี้สหรัฐฯ ในระดับต่ำ ช่วยกระจายความเสี่ยงได้ดีหากเฟดเริ่มลดการอัดฉีดสภาพคล่อง ซึ่งกองทุนมีอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้เฉลี่ย BBB อยู่ในระดับ Investment Grade

 
 
Investment Strategy

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และยุโรปแกว่งตัวอยู่ในช่วงทยอยประกาศผลประกอบการไตรมาส 3 ซึ่งปัจจุบัน มีบริษัทจดทะเบียนในดัชนี S&P500 รายงานงบการเงินออกมาแล้ว 117 บริษัท และกว่า 84% ของบริษัทที่รายงานงบออกมามีกำไรมากกว่าคาด โดยทั้ง 117 บริษัทมี Earnings Surprise รวมมากกว่าคาดที่ +13.9% ขณะที่ดัชนี STOXX600 รายงานงบการเงินออกมาแล้ว 102 บริษัท โดยกว่า 60% ของบริษัทที่รายงานงบออกมามีกำไรมากกว่าคาด รวมแล้วมี Earnings Surprise มากกว่าคาดที่ +6.8%

อย่างไรก็ตามตลาดยังรอผลประกอบการ หุ้นกลุ่ม Big Tech อย่าง Facebook, Alphabet, Twitter และ Apple ที่จะมีคิวรายงานงบการเงินในสัปดาห์นี้ หลังจากที่บริษัท Snapchat รายงานรายได้ออกมาต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาด ซึ่งเป็นผลมาจาก การเก็บข้อมูลของลูกค้าได้น้อยลง เนื่องจากนโยบายความเป็นส่วนตัวของบริษัท Apple ส่งผลให้หุ้นกลุ่ม Social Media ปรับตัวลงแรงเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา

นอกจากนี้ ตลาดยังรอติดตามผลการประชุม FOMC ในวันที่ 3 พ.ย. โดยคาดว่าเฟดจะเริ่ม QE Tapering ในการประชุมครั้งนี้ไปจนถึงช่วงกลางปีหน้า และจะขึ้นดอกเบี้ยหนึ่งครั้งในปี 2565 ซึ่งเร็วกว่าคาดการณ์เดิมว่าจะขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกในปี 2566

ธนาคารกลางจีน (PBOC) เพิ่มการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบ 190,000 ล้านหยวนเพื่อรองรับการออกพันธบัตรภายในประเทศ ซึ่งเป็นระดับที่มากที่สุดนับตั้งแต่เดือน ม.ค. ที่ผ่านมา สอดคล้องกับอัตราผลตอบแทนหุ้นกู้เอกชน (High Yield Bond) ของจีนที่เริ่มปรับตัวลดลงจากระดับสูงสุด 20% ช่วงต้นเดือน ต.ค. สู่ระดับ 17% หลังจากที่ Evergrande ชำระดอกเบี้ยหุ้นกู้มูลค่า 83.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯได้ทันระยะเวลาผ่อนผัน 30 วัน แต่อย่างไรก็ตามบริษัทยังมีกำหนดชำระดอกเบี้ยหุ้นกู้อีกในเดือน พ.ย. และ ธ.ค. และมีหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดในเดือน มี.ค. 2565 มูลค่า 2,030 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งยังเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามต่อไปจนถึงช่วงไตรมาส 1 ปีหน้า