BAY กำไร 9 เดือน 27,409 ล้านบ. ยืนเป้าสินเชื่อปีนี้โต 3%

HoonSmart.com>>”ธนาคารกรุงศรีอยุธยา”แบงก์ใหญ่อันดับห้า เปิดผลงานไตรมาส 3/64 กำไร 6,361.56 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.04% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน รวม 9 เดือนโตเฉียด 40% ได้กำไรพิเศษจากขายหุ้นบริษัทเงินติดล้อช่วย สินเชื่อเพิ่มขึ้น  1.2% หรือ  21,294 ล้านบาทจากสิ้นปีก่อน ช่วยลูกค้าทุกกลุ่มให้ผ่านพ้นช่วงโควิด  เงินฝากลดลง  2.8% หรือ 51,564 ล้านบาท ส่วนต่างดอกเบี้ยแคบลงตามปรับลดดอกเบี้ย เปิดเมืองเร็ว หนุนสินเชื่อทั้งปีโตเข้าเป้ากรอบล่าง 3-5%

ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY)  เปิดเผยผลการดำเนินงานงวดไตรมาสที่ 3/2564 มีกำไรสุทธิ 6,361.56 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 246.87 ล้านบาท คิดเป็น 4.04% เทียบกับระยะเดียวกันปีก่อนมีกำไรสุทธิ 6,114.69 ล้านบาท แต่ลดลงจำนวน 8,181.24 ล้านบาทหรือ 56.26% เทียบกับไตรมาสที่ 2/2564 มีกำไรสุทธิ 14,542.80 ล้านบาท ที่มีกำไรพิเศษจากเงินลงทุนจากการขายหุ้น IPO ของบริษัท เงินติดล้อ

ส่วนผลงานรวม 9 เดือนแรกของปี 2564 กำไรสุทธิ 27,409 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7,754.22 ล้านบาท คิดเป็น 39.45% จากที่มีกำไรสุทธิ 19,655 ล้านบาท ในช่วงเดียวกันปีก่อน  หากคิดกำไรสุทธิจากการดำเนินธุรกิจปกติลดลง 2.2% หรือจำนวน 431 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เกิดจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ลดลง ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้หลายครั้ง เพื่อบรรเทาภาระหนี้ของลูกค้า และสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ รวมถึงการปรับลดเพดานอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อเพื่อลูกหนี้รายย่อย

ขณะที่เงินให้สินเชื่อรวมเพิ่มขึ้น 1.2% หรือจำนวน 21,294 ล้านบาทจากสิ้นปี 2563 ซึ่งเกิดจากการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของสินเชื่อ SME และสินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดใหญ่ที่ 4.4% และ 4.2% ตามลำดับ สะท้อนความมุ่งมั่น และทุ่มเทของธนาคารในการช่วยเหลือลูกค้าผ่านหลายมาตรการ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากโควิด-19 อย่างต่อเนื่องผ่านหลายมาตรการเชิงรุก ตอกย้ำพันธกิจของธนาคารในการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย

กรุงศรียังคงให้การสนับสนุนแก่ภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนที่มีความเปราะบาง โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสที่3 ที่ภาวะเศรษฐกิจอ่อนแรงลงอย่างชัดเจน ส่งผลให้ยอดสินเชื่อภายใต้มาตรการช่วยเหลือเพิ่มขึ้นเป็น 233,617 ล้านบาท นอกจากนี้ ธนาคารได้สนับสนุนโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำและสินเชื่อเพื่อการฟื้นฟูธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยมียอดรวม 25,709 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนก.ย. 2564

ด้านเงินรับฝากลดลง 2.8% หรือจำนวน 51,564 ล้านบาทจากสิ้นปี 2563 ส่วนใหญ่เกิดจากการบริหารจัดการสภาพคล่องเชิงรุกอย่างมีประสิทธิภาพ และการเพิ่มสัดส่วนเงินรับฝากออมทรัพย์และจ่ายคืนเมื่อทวงถาม

ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) อยู่ที่ 3.23% เทียบกับ 3.63% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อหลายครั้ง และการปรับลดเพดานอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อเพื่อลูกหนี้รายย่อย

ขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจำนวน 12,104 ล้านบาท หรือ 50.5%  โดยปัจจัยหลักมาจากการบันทึกกำไรจากเงินลงทุนจากการขายหุ้นเงินติดล้อ หากไม่รวมรายการพิเศษ  รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยจากการดำเนินธุรกิจปกติเพิ่มขึ้นจำนวน 1,377 ล้านบาท หรือ 5.7%

อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ดีขึ้นอยู่ที่ 42.1% ในไตรมาสที่ 3 เทียบกับ 43.0% ในไตรมาสที่ 2 เกิดจากการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายของธนาคารท่ามกลางปัญหาการแพร่ระบาดของโควิดที่ยืดเยื้อ และอยู่ที่ 43.0% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 เมื่อเทียบกับ 41.2% ในช่วงเดียวกันของปี 2563

อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL Ratio) อยู่ที่ 2.27% ณ สิ้นเดือนก.ย.2564 อัตราส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ ธนาคารยังคงรักษาระดับการตั้งเงินสำรองอย่างรอบคอบระมัดระวัง เพื่อรองรับความเสี่ยงที่อาจเพิ่มขึ้นจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 จึงทำให้อัตราส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ 177.5% ณ สิ้นเดือนก.ย. 2564 อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 18.46% จาก 17.92% ณ สิ้นปี 2563

นายเซอิจิโระ อาคิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา  กล่าวว่า การเติบโตของสินเชื่อเพื่อธุรกิจสะท้อนถึงความมุ่งมั่นและความทุ่มเทของกรุงศรีในการสนับสนุนลูกค้าผ่านหลายมาตรการเพื่อบรรเทาผลกระทบ อาทิ การสนับสนุนเพื่อเพิ่มสภาพคล่อง การให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ สินเชื่อเพื่อการฟื้นฟูธุรกิจ และการปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของภาคเศรษฐกิจที่ยั่งยืน

“ กรุงศรียังคงเป้าหมายการเติบโตของเงินให้สินเชื่อในปีนี้ ในกรอบล่างของ 3-5% แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจไทยจะเผชิญความเปราะบางที่เพิ่มขึ้น แต่การเร่งฉีดวัคซีนทั่วประเทศที่มีความคืบหน้าอย่างมีนัยสำคัญ และการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคในช่วงต้นไตรมาสที่ 4 ซึ่งเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ จะช่วยฟื้นฟูความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและภาคธุรกิจ อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นความต้องการสินเชื่อในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2564 ”

ณ วันที่ 30 ก.ย. 2564 กรุงศรี ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจการเงินที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับห้าในระบบเศรษฐกิจไทยจากมูลค่าสินทรัพย์ สินเชื่อและเงินรับฝาก และเป็นหนึ่งในสถาบันการเงินที่มีความสำคัญเชิงระบบ (D-SIB) มีสินเชื่อรวม 1.85 ล้านล้านบาท เงินรับฝาก 1.78 ล้านล้านบาท และสินทรัพย์รวม 2.49 ล้านล้านบาท ขณะที่เงินกองทุนของธนาคารอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 291.72 พันล้านบาท หรือเทียบเท่า 18.46% ของสินทรัพย์เสี่ยง โดยเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นของเจ้าของคิดเป็น 13.50%