ดาวโจนส์ปิดลบ 0.53 จุด เงินเฟ้อสูงกว่าคาด เฟดลด QE เร็วสุดพ.ย.นี้

HoonSmart.com>> ดัชนีดาวโจนส์ปิดลบ 0.53 จุด ตัวเลขเงินเฟ้อสูงกว่าคาด รายงานประชุมเฟดเดือนก.ย. อาจเริ่มลด QE เร็วสุดเดือนพ.ย.นี้ ด้านตลาดหุ้นยุโรปส่วนใหญ่เพิ่มขึ้น ราคาน้ำมันดิบลดลง

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average:DJIA) วันที่ 13 ตุลาคม 2564 ปิดที่ 34,377.81 จุด ลดลง 0.53 จุด หรือ -0.00% หลังจากการรายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ของบริษัทจดทะเบียน การรายงานตัวเลขเงินเฟ้อและการประเมินระยะเวลาที่ธนาคารกลาง (เฟด) จะปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE)

ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 4,363.80 จุด เพิ่มขึ้น 13.15 จุด, +0.30%

ดัชนี Nasdaq ปิดที่14,571.64 จุด เพิ่มขึ้น 105.71 จุด, + 0.73%

รายงานการประชุมเดือนกันยายนของคณะกรรมการ FOMC ของเฟด แสดงให้เห็นว่า เฟดอาจจะเริ่มลดวงเงินซื้อพันธบัตรอย่างเร็วสุดเดือนพฤศจิกายน

“กรรมการส่วนใหญ่ประเมินว่า ด้วยการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในวงกว้าง กระบวนการลดวงเงินพันธบัตรจะยุติลงประมาณกลางปีหน้าถือว่าเหมาะสม” รายงานการประชุมระบุ

กระทรวงแรงงานรายงานดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนกันยายนเพิ่มขึ้น 0.4% เมื่อเทียบรายเดือน สูงกว่า 0.3% ที่นักวิเคราะห์คาด และเมื่อเทียบรายปี เพิ่มขึ้น 5.4% สูงกว่า 5.3%ที่นักวิเคราะห์คาด

นักวิเคราะห์จาก Principal Global Investors ระบุว่า แรงกดดันเงินเฟ้อส่วนใหญ่เป็นภาวะชั่วคราว แต่ก็มีผลกระทบต่อการซื้อขาย เงินเฟ้อที่ออกมาทั้งเงินเฟ้อทั่วไปและเงินเฟ้อพื้นฐานสูงขึ้น ชี้ว่าแรงกดดันต่อผู้บริโภคเพิ่มขึ้น

ดัชนี CPI พื้นฐานไม่รวมราคาพลังงาน และอาหารเพิ่มขึ้น 0.2% จากเดือนก่อนหน้าและเพิ่มขึ้น 4% จากระยะเดียวกันของปีก่อน

บริษัทจดทะเบียนเริ่มรายงานผลการดำเนินงานเมื่อวานนี้ โดยเจพี มอร์แกนเชส มีผลกำไรดีกว่าคาด เป็นผลจากหนี้สูญและรายได้จากสินทรัพย์ที่ดีกว่าคาด แต่ราคาหุ้นลดลง 2.6%

เดลต้า แอร์ไลน์รายงานรายได้ดีกว่าคาดและมีกำไรรายไตรมาสเป็นครั้งแรกโดยไม่มีการช่วยเหลือจากรัฐนับตั้งแต่การระบาดของไวรัสแต่ระบุว่า ต้นทุนที่สูงขึ้นและค่าใช้จ่ายด้านอื่นจะกดดันกำไรไตรมาสสี่ หุ้นดลต้าแอร์ไบน์ลดลง 5.8%

นักลงทุนรอการรายงานผลการดำเนินงานจากธนาคารใหญ่รายอื่น ทั้งโกลด์แมน แซคส์ แบงก์ ออฟ อเมริกา มอร์แกน สแตนเล่ย์ เวลส์ ฟาร์โก และซิตี้ กรุ๊ป ในวันพฤหัสบดี

นักวิเคราะห์จาก Raymond James ระบุว่า ผลการดำเนินงานที่ออกมาเป็นไตรมาสแรกที่แสดงถึงความเสี่ยงของ EPS ที่แท้จริงจากการฟื้นตัวจากการระบาดของไวรัสโควิด เพราะการคาดการณ์ GDP ถูกปรับลงตั้งแต่กลางเดือนสิงหาคมจากการชะงักงันของห่วงโซ่อุปทาน อย่างไรก็ตามการคาดการณ์ EPS ยังไม่เปลี่ยนไปมากและมีการปรับคาดการณ์ผลกำไรของหุ้นส่วนใหญ่เป็นบวกมากกว่าติดลบ

หุ้นแอปเปิลดลง 0.4% จากรายงานของบลูมเบิร์กว่า บริษัทจะลดการผลิตไอโฟน 13 ลงเพราะขาดแคลนชิป แต่หุ้นเทคโนโลยีอื่นปรับขึ้น เพราะอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี อ่อนตัวลง อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมีผลบวกต่อผลการดำเนินงานของกลุ่มเทคโนโลยี

ตลาดหุ้นยุโรปส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้น นำโดยกลุ่มเทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้น 2.6% ผลประกอบการที่แข็งแกร่งกลบความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อและการเติบโตของเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ตามนักลงทุนยังจับตาความไม่แน่นอนของเงินเฟ้อ การเติบโตของเศรษฐกิจและราคาพลังงานที่สูงขึ้น

ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินของรัสเซียให้สัมภาษณ์ซีเอ็นบีซีว่า ไม่ได้ใช้พลังงานเป็นเครื่องมือจัดการกับยุโรปและพร้อมที่จะช่วยเหลือแก้ไขวิกฤติพลังงาน

ในอังกฤษ GDP เดือนสิงหาคมเพิ่มขึ้น 6.9% จากระยะเดียวกันของปีก่อน และสูงกว่า 6.7% ที่นักวิเคราะห์คาดและห่างจากระดับก่อนโควิดเพียง 0.8%

ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 460.39 จุด เพิ่มขึ้น 3.18 จุด, +0.70%

ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,141.82 จุด เพิ่มขึ้น 11.59 จุด, +0.16%

ดัชนี CAC 40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,597.38 จุด เพิ่มขึ้น 49.27 จุด, +0.75%

ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 15,249.38 จุด เพิ่มขึ้น 102.51 จุด, +0.68%

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนพฤศจิกายน ลดลง 20 เซนต์ ปิดที่ 80.44 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือน ลดลง 24 เซนต์ ปิดที่ 83.18 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล