ดาวโจนส์ปิดลบ 250 จุด วิตกราคาน้ำมันดิบพุ่ง โกลด์แมน แซคส์หั่น GDP

HoonSmart.com>> ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดลบ ดัชนีดาวโจนส์ร่วง 250 จุด วิตกราคาน้ำมันดิบพุ่งต่อเนื่อง ด้านโกลด์แมน แซคส์ หั่นคาดการณ์ GDP ปีนี้เหลือ 5.6% จาก 5.7% ส่วนปีหน้าเหลือ 4% จาก 4.4% นักลงทุนจับตากลุ่มแบงก์ประกาศผลประกอบการสัปดาห์นี้ ด้านตลาดหุ้นยุโรปมีทั้งบวกและลบ

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average:DJIA) วันที่ 11 ตุลาคม 2564 ปิดที่ 34,496.06 จุด ลดลง 250.19 จุด หรือ 0.72% จากความกังวลเกี่ยวกับราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง รวมทั้งแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจและผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน

ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 4,361.19 จุด ลดลง 30.15 จุด, -0.69%

ดัชนี Nasdaq ปิดที่14,486.20 จุด ลดลง 93.34 จุด, -0.64%

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนพฤศจิกายน เพิ่มขึ้น 1.17 ดอลลาร์ หรือ 1.5% ปิดที่ 80.52 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากที่ขึ้นไปแตะระดับ 82 ดอลลาร์ ส่วนราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนธันวาคม เพิ่มขึ้น 1.26 ดอลลาร์ หรือ 1.5% ปิดที่ 83.65 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

ราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้นทำให้กังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ โดยนักวิเคราะห์ จากBernstein ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ราคาพลังงานที่สูงขึ้นหรือปรับขึ้นอย่างรวดเร็วที่ผ่านมาเป็นปัจจัยกระตุ้นการถดถอยของเศรษฐกิจ ดังนั้นมีความเป็นได้ที่ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย หากราคาพลังงานยังปรับขึ้นต่อเนื่อง และมีผลต่อรายได้ที่ใช้ได้จริงของผู้บริโภค

ราคาน้ำมันดิบยังมีผลกระทบต่อบางบริษัท และกระทบความต้องการของผู้บริโภค และอาจจะทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ

หุ้นกลุ่มพลังงานอ่อนตัวลงหลังจากที่ปรับตัวขึ้นระหว่างชั่วโมงซื้อขาย โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล ลดลง 1.01% หุ้นเชฟรอน ลดลง 0.87% หุ้นโคโนโคฟิลลิปส์ ลดลง 1.27% หุ้นเดวอน เอนเนอร์จี ลดลง 1%

นอกจากนี้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรทั่วโลกปรับเพิ่มขึ้น โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีของอังกฤษเพิ่มขึ้นมาที่ 1.19% จาก 1.16% ในวันศุกร์ แม้อ่อนตัวจากระดับสูงสุดของวัน ส่วนในเยอรมนีอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีปรับขึ้นมาที่ – 0.12% จาก-0.148% ขณะที่ตลาดตราสารหนี้สหรัฐฯปิดทำการเนื่องในวัน Columbus day,

ขณะเดียวกันโกลด์แมน แซคส์ ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ปี 2564 ลงเป็น 5.6% จาก 5.7% และปรับลด GDP ปี 2565 เป็น 4% จาก 4.4% โดยระบุว่า เป็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่สิ้นสุดลง และการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด โดยเฉพาะในภาคบริการ

นักลงทุนยังจับตาผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนโดย ธนาคารขนาดใหญ่จะรายงานผลประกอบการในสัปดาห์นี้ ซึ่งเจพีมอร์แกนกำหนดรายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ในวันพุธนี้ ส่วนโกลด์แมน แซคส์ แบงก์ ออฟ อเมริกา มอร์แกน สแตนเล่ย์, เวลส์ ฟาร์โก และซิตี้ กรุ๊ป จะเปิดเผยผลประกอบการในสัปดาห์นี้

หุ้นเจพีมอร์แกน ลดลง 2.09% หุ้นโกลด์แมน แซคส์ ลดลงลง 1.92% หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ลดลง 1.26% หุ้นมอร์แกน สแตนเล่ย์ ลดลง 2.74%

นอกจากนี้เดลต้า แอร์ไลน์ และวอลกรีนส์ บูท อัลลิอันซ์ ก็เตรียมที่จะรายงานผลการดำเนินงานเช่นกัน ซึ่งนักลงทุนรอดูข้อมูลเพื่อประเมินไปถึงห่วงโซ่อุปทาน เพราะกำลังเข้าสู่เทศกาลการจับจ่าย

นักวิเคราะห์ประเมินว่าผลการดำเนินงานไตรมาส3 ของบริษัทใน S&P 500 จะเพิ่มขึ้น 27.6% และจะเป็นการเติบโตที่สูงสุดรอบที่ 3 นับตั้งแต่ปี 2010

ตลาดหุ้นยุโรปมีทั้งบวกและลบ โดยกลุ่มทรัพยากรพื้นฐานเพิ่มขึ้น 3% แต่กลุ่มเดินทางและสันทนาการลดลง 1% ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน ความวิตกเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อ ขณะที่จับตาการปรชุมของธนาคารกลางสหภาพยุโรปในวันศุกร์เพื่อหารือเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการยุติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และคาดว่าจะตัดสินใจในเดือนธันวาคม

ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 457.53 จุด เพิ่มขึ้น 0.24 จุด, +0.05%

ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,146.85 จุด เพิ่มขึ้น 51.30 จุด, +0.72%

ดัชนี CAC 40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,570.54 จุด เพิ่มขึ้น 10.55 จุด, +0.16%

ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 15,199.14 จุด ลดลง 6.99 จุด, -0.05%