AWC ฉลอง 2 ปีเข้าตลาดหุ้น หนุนโตก้าวกระโดด-ยั่งยืน

HoonSmart.com>>วันที่ 10 ต.ค.2564 บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป (AWC) จัดงานครบรอบ 2 ปี ของการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย  โดยนางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า การเข้าตลาดหุ้น ถือเป็นจุดเริ่มต้นของบริษัทในการรวมโครงการคุณภาพทั้งหมด จัดพอร์ตในหลายเซ็กเตอร์ เติมพอร์ตให้แข็งแรง มีเป้าหมายลงทุนในโครงการที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้เร็วและมากกว่าเดิม สร้างกระแสเงินสดกลับมาให้ยั่งยืน ตอบแทนให้แก่นักลงทุน ช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและเศรษฐกิจไทย 

ในสัปดาห์นี้ ครบรอบ 2 ปีเข้าตลาดหุ้น บริษัทได้รับข่าวดี 2 เรื่อง บริษัทได้รับการรับรองให้เป็นแนวร่วมปฏิบัติของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านการทุจริต (CAC) เป็นครั้งแรกในไตรมาส 2 ประจำปี 2564 และได้รับการคัดเลือกเข้าสู่รายชื่อหุ้นยั่งยืน THSI (Thailand Sustainability Investment) จากทั้งหมด 146 รายชื่อในปีนี้

ความสำเร็จของ AWC ในวันนี้  เกิดจากการรวมพลังของผู้บริหารและพนักงาน รวมถึงความร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลกที่เป็นท็อปแบรนด์ โกลบอล แบรนด์มาร่วมสร้างธุรกิจ  เพื่อเดินไปข้างหน้าด้วยกัน รวมความหลากหลายของประเภทอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ และสร้างคุณค่ารูปแบบใหม่ที่มุ่งตอบโจทย์และเสริมรูปแบบการใช้ชีวิตไร้ขีดจำกัดของลูกค้าให้มากขึ้น ยกระดับความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว รวมถึงเศรษฐกิจโดยภาพรวม โดยดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก เพื่อสร้างให้ไทยเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวระดับโลกในอนาคต

ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา บริษัทมีการทรานส์ฟอร์เมชั่นองค์กรทั้งหมด เเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ลดค่าใช้จ่าย ขับเคลื่อนองค์กรรักษาความแข็งแกร่งให้พร้อมเติบโตอย่างก้าวกระโดด หลังเหตุการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติ

สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้มีการปรับพอร์ตทรัพย์สิน 1.3 แสนล้านบาท บริษัทมองตั้งแต่กลยุทธ์หลัก เรื่องการขยายการลงทุน นอกจากคำนึงถึงความสมดุล ยังต้องพิจารณาเรื่องความเสี่ยง ทั้งระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาว เพื่อสร้างกระแสเงินสดแบบก้าวกระโดด อัตราผลตอบแทนจากส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) เป็นตัวเลขสองหลัก อัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) 12% และมีโอกาสขึ้นถึง 15% รวมถึงการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ส่งผลทำให้ AWC จะสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน นับเป็นการส่งเสริมความมั่นใจให้กับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับ ESG

นอกจากนี้ยังมีการปรับโมเดลใหม่ ลงทุนโครงการขนาดใหญ่  ปรับเปลี่ยนแนวคิดด้านผลิตภัณฑ์และบริการของธุรกิจในเครือให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตใหม่แบบ New Normal ซึ่งเป็นการต่อยอดกลยุทธ์ “Building a Better Future”  ขับเคลื่อนองค์กรจากภายในสู่คุณค่าองค์รวมให้กับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย ทั้งผู้ถือหุ้น ลูกค้า พนักงาน ชุมชน สังคม และประเทศไทยภายใต้กลยุทธ์ความยั่งยืน

AWC ยังคงเชื่อมั่นในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยในระยะยาวและเตรียมกลยุทธ์การเป็น OMNI-Integrated Lifestyle Real Estate ที่รวมความหลากหลายของประเภทอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ และสร้างคุณค่ารูปแบบใหม่ที่มุ่งตอบโจทย์และเสริมรูปแบบการใช้ชีวิตไร้ขีดจำกัด

“เรามองเห็นโอกาสที่จะกลับมาเร็วและแข็งแรง เตรียมโครงการให้พร้อมดึงดูดลูกค้าและนักท่องเที่ยวทั่วโลก มองเห็นนิวไลฟ์สไตล์ วันนี้จะเห็นลูกค้ามาทำงาน และมาพักผ่อนยาว 1 เดือนหรือมากกว่า 1 เดือน เทียบกับในอดีตมาอยู่ 2-3 สัปดาห์ ด้วยจุดแข็งของประเทศไทย ทั้งเรื่องธรรมชาติ วัฒนธรรมและการบริการ  ทำให้มั่นใจว่าเรายังเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลก”

อย่างไรก็ตาม การกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ยังจะต้องใช้เวลา คาดว่ารายได้ของบริษัทในปีหน้ายังไม่กลับมาเร็วเท่าก่อนช่วงเกิดโควิด คาดว่าจะต้องรอไปปี 2566-2567 แต่รายได้ที่เพิ่มขึ้นก็มาจากการลงทุนโครงการใหม่ๆ รวมถึงการซื้อกิจการ ซึ่งบริษัทมองทุกโอกาสที่จะเข้ามา แต่จะต้องคำนึงถึงเรื่องของผลตอบแทน รวมถึงโลเคชั่นและตอบโจทย์ของบริษัทด้วย ปัจจุบันกำลังให้ AI วิเคราะห์ข้อมูล นอกจากนี้ในเรื่องของการลงทุน ก็มีการทบทวนโครงการและระยะเวลาในการเปิดให้บริการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ด้วย

สำหรับทิศทางธุรกิจของ AWC จากนี้ บริษัทยังเดินหน้าลงทุนโครงการอสังหาริมทรัพย์ทุกรูปแบบ รวมถึงมิกซ์ยูส ซึ่งผสมผสานไม่ได้มีการแยกโรงแรม ค้าปลีก หรือตึกสำนักงาน ออฟฟิศอย่างชัดเจน ตามไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่ ซึ่งที่ผ่านมา จับมือ Nobu Hospitality แบรด์ไลฟ์สโตล์สุดหรูระดับโลก  เปิดร้านอาหารสุดหรู บน Rooftop อาคารเอ็มไฟร์ ทาวเวอร์ และจะสร้างโรงแรมด้วย คอนเซ็ปใหม่ ในการพักผ่อนและอาหารดีเกินคาด

ปัจจุบันพอร์ตโฟลิโอของ AWC  ประกอบด้วย โรงแรม 18 แห่ง, รีเทล 8 แห่ง, อาคารสำนักงาน 4 แห่ง, ค้าส่ง 2 แห่ง รวม 32 แห่ง และอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการใหม่อีก 18 โครงการ ทำให้ในอีก 5 ปีข้างหน้า จะมีอสังหาริมทรัพย์รวม 50 แห่งในหลากหลายทำเลสำคัญของประเทศ โดยเฉพาะ  3 โปรเจคแลนด์มาร์ค ซึ่งจะสร้างปรากฏการณ์ให้กับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทย

โครงการแรก ASIATIQUE THE RIVERFRONT DESTINATION ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ประกอบด้วย โรงแรมริทซ์-คาร์ลตัน รีเซิร์ฟ, โรงแรมเจดับบลิว แมริออท มาร์คีส์ รวมถึง ริทซ์-คาร์ลตัน รีเซิร์ฟ แบรนเด็ด เรสซิเดนส์ ซึ่งเป็นเซอร์วิส เรสซิเดนส์ โดยมีแผนเปิดให้บริการเริ่มจากเปิดโซนค้าปลีกและสำนักงานในปี 2567

โครงการที่ 2 AQUATIQUE DISTRICT PATTAYA โครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ใจกลางเมืองพัทยา ประกอบด้วยแหล่งชอปปิ้ง แหล่งท่องเที่ยว โรงแรมหรู 5 แบรนด์ และแบรนเด็ด เรสซิเดนส์อีก 2 แบรนด์ และพื้นที่ค้าปลีก นอกจากนี้ยังมีพื้นที่สำหรับ Wellness ซึ่งตอบโจทย์การส่งเสริมให้พัทยาเป็นจุดหมายปลายทางของชายหาดยอดนิยมระดับโลก

โครงการที่ 3  เวิ้งนครเขษม จะใช้เงินลงทุนมากกว่า 16,000 ล้านบาท พัฒนาให้เป็นโครงการพิเศษแบบ Mixed Development ทั้งโรงแรม ที่อยู่อาศัย และค้าปลีก  โดยดึงเสน่ห์และอนุรักษ์ความเป็นไชน่า ทาวน์ ให้นักท่องเที่ยวสามารถเพลิดเพลินไปกับร้านค้าปลีกใต้ดินที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ เส้นทางมรดก มรดกทางประวัติศาสตร์ และถนนแห่งความบันเทิง พร้อมตอบโจทย์การสร้างจุดหมายปลายทางแห่งความภาคภูมิให้กับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก