“วิรไท”พบเอ็นพีแอลหนี้อสังหาริมทรัพย์เพิ่ม แฉสถาบันการเงินแข่งขันสูง ปล่อยกู้มากกว่ามูลค่าที่อยู่อาศัย เกินกำลังจ่ายของผู้กู้ สินค้าใหม่ออกมาล้นตลาด เก็งกำไรผิด ไปขายต่อ หรือให้เช่าไม่ได้ สั่งแบงก์ให้พิจารณาคำขออย่างใกล้ชิด
นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า คุณภาพของสินเชื่อในภาพรวมดีขึ้น แต่สินเชื่อที่อยู่อาศัยยังต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากสถาบันการเงินมีการแข่งขันกันค่อนข้างสูง โดยจะเห็นได้จากการให้วงเงินสินเชื่อที่สูงเมื่อเทียบกับมูลค่าของที่อยู่อาศัย หรือแม้แต่การให้สินเชื่อในวงเงินที่สูงเมื่อเทียบกับรายได้หรือความสามารถในการชำระคืนของผู้กู้ เป็นต้น
นอกจากนี้ พบว่าที่อยู่อาศัยบางประเภทยังมีอุปทานส่วนเกิน เนื่องจากมีการคาดการณ์ราคาอสังหาริมทรัพย์ไปล่วงหน้าว่าจะสูงขึ้น ทำให้มีการซื้อเพื่อลงทุนหวังเก็งกำไร หรือนำไปปล่อยให้เช่าต่อ แต่เนื่องจากอุปทานส่วนเกินสูง จึงไม่ได้ราคาตามที่คาดหวังไว้ ส่งผลให้เกิดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ในภาคอสังหาริมทรัพย์ตามมาทำให้ ธปท.จะต้องติดตามสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิด
“เราต้องติดตามอย่างใกล้ชิด คืออุปทานของที่อยู่อาศัยที่ออกมาใหม่ จะเห็นว่าบางประเภทมีอุปทานส่วนเกินอยู่มาก บางช่วงเวลาที่ประชาชนคาดหวังว่าราคาจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จึงไปซื้อเพื่อการลงทุน หรือให้เช่าต่อ แล้วไม่ได้ค่าเช่าตามที่ตั้งใจไว้ งเป็นเหตุผลที่ทำให้ เอ็นพีแอลของสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสินเชื่อที่มี Loan to Value สูงๆ หรือการปล่อยสินเชื่อแบบที่รับความเสี่ยงสูงๆ นี่คือปัจจัยเสี่ยงที่ กนง.ให้ติดตามต่อเนื่อง” ผู้ว่าฯ ธปท.ระบุ
นายวิรไท กล่าวว่า ธปท.ได้กำชับไปยังธนาคารพาณิชย์ให้พิจารณาอย่างใกล้ชิดในการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่มีความเสี่ยงในลักษณะดังกล่าว
ส่วนเรื่องเศรษฐกิจ นายวิรไทกล่าวว่า มีการฟื้นตัวแบบกระจายตัวมากขึ้น โดยการบริโภค การจ้างงาน และสินเชื่อโตต่อเนื่อง คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังจะฟื้นชัดเจนขึ้น แต่ยังมีความเสี่ยงจากมาตรการกีดกันและตอบโต้ทางการค้า ที่คาดว่าจะมีผลกระทบทางการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศที่ชัดเจนขึ้นตั้งแต่ในช่วงปลายปีนี้หรือปีหน้า และจากความผันผวนของค่าเงินสกุลหลัก เนื่องจากทิศทางความไม่แน่นอนของนโยบายทางการเงินของประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ รวมถึงปัจจัยในประเทศด้านการท่องเที่ยว ซึ่งต้องติดตามอย่างต่อเนื่องรวมถึงเรื่องการลงทุนของภาคเอกชนด้วย เพราะหากมีความไม่แน่นอนสูง จะทำให้ภาคเอกชนชะลอการลงทุนได้
ผู้ว่า ธปท.กล่าวว่า ผลกระทบที่เริ่มเห็นบ้างแล้ว คือ มาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ที่ประกาศออกมาตั้งแต่ช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ส่งผลกระทบต่อสินค้าประเภทแผงโซลาร์เซลล์ และเครื่องซักผ้าที่มียอดการส่งออกลดลง
