MAKRO เร่งโต โอน ‘โลตัสส์’ ต.ค.นี้ ตั้งงบลงทุน 5 ปี 1.3 แสนลบ.

HoonSmart.com>>‘สยามแม็คโคร’ เตรียมขอมติผู้ถือหุ้น 12 ต.ค.นี้ หากได้ไฟเขียวโอนกิจการกลุ่มโลตัสส์ในไทย-มาเลเซียจาก CPRH ออกหุ้นใหม่เฉพาะเจาะจงตอบแทนค่ากิจการ-เพิ่มทุนขายประชาชน หนุนฟรีโฟลตเข้า SET 50 จัดงบลงทุน 5 ปี สำหรับ MAKRO ประมาณ 60,000 ล้านบาท และ กลุ่มโลตัสส์ 70,000 ล้านบาท บุกต่างประเทศ ชูแพลตฟอร์ม O2O อีคอมเมิร์ซ ตอบสนองพฤติกรรมผู้บริโภค สร้างโอกาสให้ SMEs โตในต่างประเทศ

สุชาดา อิทธิจารุกุล 

นางสุชาดา อิทธิจารุกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร – กลุ่มธุรกิจสยามแม็คโคร (MAKRO) เปิดเผยว่า ในวันที่ 12 ต.ค.นี้ จะมีการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัท ผ่านระบบออนไลน์ เพื่อขออนุมัติการเข้าถือหุ้นและรับโอนกิจการทั้งหมดของกลุ่มโลตัสส์ในไทยและมาเลเซีย จากบริษัท ซี.พี.รีเทล โฮลดิ้ง (CPRH) และเพิ่มทุนจดทะเบียน  จัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง (PP) และเสนอขายหุ้น เพิ่มทุนแก่ประชาชนทั่วไป (PO) คาดว่าจะรับโอนกิจการกลุ่มโลตัสส์ แล้วเสร็จภายในวันที่ 25 ต.ค.นี้ หลังจากนั้นจะเพิ่มทุน ซึ่งจะเพิ่มสัดส่วนการกระจายการถือหุ้นในมือของผู้ถือหุ้นรายย่อย (ฟรีโฟลต) เป็นไม่ต่ำกว่า 15% ของทุนเรียกชำระแล้ว จากปัจจุบันอยู่ที่ 7% และเพิ่มมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) ขยายโอกาสในการเข้าสู่การคำนวณอยู่ในดัชนี SET50 ได้

การเข้าถือหุ้นและรับโอนกิจการทั้งหมดของกลุ่มโลตัสส์ครั้งนี้ จะเพิ่มโอกาสการเติบโต จากการขยายธุรกิจในต่างประเทศ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพและประชากรเป็นจำนวนมาก เพื่อรองรับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 และร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น โดยบริษัทฯ พร้อมร่วมมือกับพันธมิตรธุรกิจต่าง ๆ ทั้งเอสเอ็มอี และผู้ผลิตสินค้า ร่วมเติบโตไปด้วยกันในระดับภูมิภาค ผ่านแพลตฟอร์มที่บริษัทฯ พัฒนาขึ้นเพื่อสร้างโอกาสให้แก่ผู้ประกอบการไทย

“ เรายังคงยึดมั่นแนวทางการดำเนินธุรกิจที่เป็นคู่คิดทางธุรกิจของทุกกลุ่มผู้ประกอบการ พร้อมสนับสนุนผู้ผลิตสินค้า และร้านค้าปลีกรายย่อย (ร้านโชห่วย) ด้วยการนำความเชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการร้านค้า เข้าไปสนับสนุนการดำเนินธุรกิจรายย่อยท้องถิ่นให้แข็งแกร่งและเติบโตอย่างยั่งยืน ตลอดจนให้ความสำคัญกับการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม รวมถึงจำหน่ายสินค้าในราคาที่เป็นธรรม” นางสุชาดา กล่าว

บริษัทได้วางงบลงทุนสำหรับ 5 ปีข้างหน้า (ปี 2564-2568) ประมาณ 130,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในการพัฒนาช่องทางการจัดจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินการของบริษัท โดยมีแผนจะขยายสาขาทั้ง MAKRO และ LOTUS ในตลาดต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น จากเดิม MAKRO มี 7 สาขาในต่างประเทศ ได้แก่ กัมพูชา 2 สาขา,เมียนมา 1 สาขา,อินเดีย 3 สาขา และจีน 1 สาขา และจะเน้นการลงทุนด้านดิจิทัลเพิ่มมากขึ้น โดยแบ่งงบลงทุนสำหรับธุรกิจในกลุ่ม MAKRO ประมาณ 60,000 ล้านบาท และกลุ่มโลตัสส์ ราว 70,000 ล้านบาท

บริษัทเชื่อว่าจากประสบการณ์การดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมากว่า 32 ปี และมีความเชี่ยวชาญในธุรกิจ B2B (Business to Business หรือการค้ากับผู้ประกอบการ) ขณะที่โลตัสส์ซึ่งเป็นผู้นำตลาดแบบ B2C (Business to Consumer หรือ การค้ากับผู้บริโภค) และดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมากว่า 27 ปี การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ จะตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั้ง 2 กลุ่มได้ดียิ่งขึ้น ด้วยช่องทางการจัดจำหน่ายที่หลากหลาย และการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้าทุกกลุ่ม รวมถึงสามารถใช้ความเชี่ยวชาญด้านการคัดสรรและจัดซื้อ เพื่อนำเสนอสินค้าและบริการที่หลากหลายยิ่งขึ้น ตลอดจนยกระดับห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ให้เข้มแข็ง สามารถแข่งขันกับผู้ประกอบการต่างชาติได้

ทั้งนี้ ทั้งสองบริษัทฯ จะพัฒนาโมเดลธุรกิจที่ผสมผสานการขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ (O2O) เพื่อตอบสนองพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคดิจิทัล ที่ต้องการความสะดวกสบายในการซื้อสินค้าและบริการ ตลอดจนยกระดับแม็คโครและโลตัสส์ให้เป็นองค์กรที่มีความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น พร้อมขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและดิจิตัลแพลตฟอร์ม

นางเสาวลักษณ์ ถิฐาพันธ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร – กลุ่มธุรกิจสยามแม็คโคร สายงาน Group Shared Service กล่าวว่า การรับโอนกิจการของกลุ่มโลตัสส์ครั้งนี้ จะทำให้บริษัทฯ มีมาร์เก็ตแคปที่ใหญ่ขึ้น และส่งผลดีต่อภาพรวมของผลการดำเนินงานที่สามารถรับรู้รายได้ของกลุ่มโลตัสส์ รวมถึงรายได้จากพื้นที่เช่าที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น หลังจากที่รัฐบาลผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นในการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค

ทั้งนี้ หากได้รับการอนุมัติจากผู้ถือหุ้น บริษัทฯ เตรียมดำเนินการขออนุมัติจากสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนทั่วไป ซึ่งจะเพิ่มฟรีโฟลต  เป็นไม่ต่ำกว่า 15% ตามเกณฑ์ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และจะส่งผลให้หลักทรัพย์ของบริษัทฯ มีโอกาสเข้าคำนวณในดัชนีสำคัญต่าง ๆ และเป็นที่สนใจของนักลงทุนสถาบัน ทั้งในและต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยที่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทฯ คือบริษัท ซีพี ออลล์ (CPALL) และบริษัท เจริญโภคภัณฑ์โฮลดิ้ง จำกัด และ บริษัท ซี.พี.เมอร์แชนไดซิ่ง   (บริษัทย่อยของบริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร -CPF) ซึ่งจะได้รับหุ้น PP จากการรับโอนกิจการดังกล่าว จะร่วมเสนอขายหุ้นที่ถืออยู่ในบริษัทฯ ด้วยบางส่วน