JCKH กางแผนครึ่งปีหลังใช้ 2 กลยุทธ์ มุ่งเน้นบริหารจัดการต้นทุนให้มีประสิทธิภาพดียิ่งและเพิ่มรายได้จากแบรนด์เดิมที่มี พร้อมเพิ่ม 2 แบรนด์ใหม่ คือ “จิ้นโต้ว” และ “Signor Sassi” เพิ่ม synergy ดันรายได้และกำไรเพิ่มสูงขึ้น คาดเริ่มรับรู้รายได้ในไตรมาส 4/61 มั่นใจดันผลประกอบการตั้งแต่ปี 62 จะเติบโตปีละ 10-15%
นายอภิชัย เตชะอุบล ประธานกรรมการ บริษัท เจซีเค ฮอสพิทอลลิตี้ (JCKH) เปิดเผยถึงแผนการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2561 ว่ายังคงมุ่งเน้นนโยบายการบริหารจัดการต้นทุนให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้นกว่าเดิม ควบคู่ไปกับนโยบายการปรับเพิ่มรายได้ ซึ่งแบ่งเป็นสองส่วนส่วนแรกคือรายได้ที่จะเกิดจากร้านอาหารที่เป็นแบรนด์เดิมจะใช้กลยุทธ์การปรับระดับของราคาขายทำให้มีความแตกต่าง และหลากหลายมากขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของแต่ละกลุ่มลูกค้า รวมถึงจับกลุ่มลูกค้าใหม่ที่มีกำลังซื้อที่ต้องการสินค้า
ขณะเดียวกันก็ยังเน้นการพัฒนาและยกระดับการให้บริการและปรับปรุงคุณภาพสินค้าและบริการให้ดียิ่งขึ้นไปอีก รวมถึงการลงทุนงบโฆษณาและการตลาดเพิ่มขึ้น เพื่อกระตุ้นยอดขายและสร้างภาพลักษณ์ของ Brand ให้เข็มแข็งและเป็นที่รู้จักมากขึ้น โดยคัดเลือกเครื่องมือทางการตลาดผ่านทั้ง on line & off line เพื่อให้สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
ส่วนที่สองจะมีการลงทุนในร้านภายใต้แบรนด์ใหม่ที่มีศักยภาพและสไตล์ร้านอาหารที่หลากหลายมากขึ้น เน้นอาหารประเภท A la carte เนื่องจากมี Gross Profit Margin ที่ดีกว่า เช่น ร้านอาหารเจิ้นโต้ว สไตล์ภัตตาคารจีน ที่ให้บริการอาหารจีน และติ๋มซำ ที่เน้นรสชาต และคุณภาพดี ในระดับราคาที่สมเหตุสมผล ในระยะแรกจะเน้นให้บริการเฉพาะอาหารประเภทติ๋มซำเป็นหลักและค่อยเพิ่มไลน์เมนูอาหารมากขึ้นในอนาคต JCKH ได้เริ่มเปิดทดลองไปแล้ว 1 สาขา ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาและคัดเลือกทำเลที่มีศักยภาพและมีกำลังซื้อ เพื่อจะขยายสาขาใหม่ ซึ่งคาดว่าในปี 2561-2562 น่าจะเปิดได้อีกไม่น้อยกว่า 2-3 สาขา
และอีกร้าน คือ Signor Sassi ร้านอาหารสไตล์อิตาเลี่ยน เป็นแฟรนไชส์ร้านอาหารจากประเทศอังกฤษ เปิดให้บริการในประเทศไทยมานานกว่า 6 ปี ร้านตั้งอยู่ Siam Paragon ชั้น G ซึ่งถือว่าอยู่ในทำเลที่ดี มีกลุ่มลูกค้าและรายได้ที่แน่นอนแล้ว รวมทั้งด้วยชื่อเสียงของ Brand ทำให้มีโอกาสในการขยายสาขาใหม่ได้อีกในอนาคต ปัจจุบัน Signor Sassi มีรายได้จากการขายเกือบ 50 ล้านบาท/ปี และมี EBITA ประมาณ 1.5 ล้านบาท/ปี โดย JCKH ได้ซื้อร้านดังกล่าวมาจากลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทในราคาที่ไม่แพงประมาณ 5-6 ล้านบาท (ตามมูลค่าบัญชีของทรัพย์สินที่ซื้อมา) ถึงแม้ปัจจุบันกำไรจะไม่มากนัก แต่คาดว่าเมื่อรวมกิจการเข้าในกลุ่ม JCKH จะทำให้เกิด synergy จากการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ร่วมกัน จะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้และผลกำไรเพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่า JCKH สามารถเริ่มรับรู้รายได้และกำไรจากร้านนี้ได้อย่างช้าไม่เกินไตรมาส 4/61 และคาดว่าใช้ระยะเวลาคืนทุนได้ภายใน 2 ปี
“ภาพรวมผลประกอบการปีนี้คาดว่ารายได้ปีนี้อยู่ที่ 1,500 ล้านบาท หลังจากปรับโครงสร้างภายใน โดยในปีถัดไปตั้งเป้าหมายการเติบโตอยู่ที่ 10-15% และจากนี้ไปจะเหลือธุรกิจอาหาร 7 แบรนด์ รวมกัน104 สาขา ได้แก่ HotPot 91 สาขา ,Daidomon 7 สาขา ,Signature 2 สาขา ,Toomato1 สาขา , Soupper Pot 1 สาขา , เจิ้นโต้ว 1 สาขา และ Signor Sassi 1 สาขา”นายอภิชัย กล่าว
สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานในงวดไตรมาส 2/61 มีกำไรสุทธิ 1.23 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 101.96% เมื่อเทียบจากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีผลขาดทุน 51 ล้านบาท ขณะที่รายได้รวมในไตรมาส 2/61 อยู่ที่ 400.29 ล้านบาทลดลงเล็กน้อย จากงวดเดียวกันที่มีรายได้อยู่ที่ 477.09 ล้านบาท แม้ว่ารายได้รวมจะลดลง แต่จากนโยบายการบริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่าย รวมถึงการปิดลดสาขาขาดทุน ส่งผลให้ใน ไตรมาส 2/61 เชื่อว่าจะสามารถพลิกฟื้นกลับมามีกำไร ส่งผลให้ครึ่งปีแรกของปีนี้ มีผลการดำเนินงานปรับตัวดีขึ้น โดยครึ่งปีแรกปีนี้ขาดทุนเหลือ 31.03 ล้านบาท จากงวดเดียวกันปีก่อนขาดทุน 99.13 ล้านบาท ซึ่งมีผลขาดทุนลดลงมากถึง 68 ล้านบาท