HooonSmart.com>> “สยามราชธานี” คาดรายได้ครึ่งหลังปี’64 โตขึ้นใกล้เคียง 6 เดือนแรก เดินหน้าลดต้นทุนอย่างต่อเนื่อง ปรับกลยุทธ์นำเทคโนโลยีเข้ามาผสม เสริมความสามารถในการดำเนินธุรกิจ จ่อซื้อกิจการเพิ่มเติม เล็งธุรกิจ Outsource Company-Enterprise Technology-Professional Training คาดรู้ผล 1 ราย ในไตรมาส 1/65
บริษัท สยามราชธานี (SO) เปิดตัวประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่ นายณัฐพล วิมลเฉลา เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่ากำไรสุทธิในปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 150-160 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนอยู่ที่ 139.55 ล้านบาท โดยรายได้ในครึ่งปีหลังเติบโตใกล้เคียงกับครึ่งแรกที่มีอยู่จำนวน 1,025.87 ล้านบาท แม้มีโควิด-19 เกิดขึ้น แต่บริษัยังมีการขยายฐานลูกค้าใหม่ และรับงานใหม่ๆเพิ่มเติม อีกทั้งยังสามารถลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง
บริษัทพยายามปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ ปัจจุบันสามารถรวมซอฟท์แวร์ , ฮาร์ดแวร์ และบุคลากรไว้ด้วยกันทั้งหมด ช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้ลูกค้าได้หลายโซลูชั่น อีกทั้งบริษัทยังมีลูกค้าที่มั่นคง ทั้งที่เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และเป็น Multi Company ที่มีมาตรฐานสูงรวมกว่า 600 สัญญา โดยปัจจุบันบริษัทมีฐานลูกค้าอยู่ประมาณ 200-300 ราย อยู่ในหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม ส่วนที่เป็นลูกค้าใหม่เติบโตจากปีก่อนประมาณ 15%
สิ่งที่บริษัทจะพยายามเพิ่มสัดส่วนมากขึ้น คืองานทางด้าน SO NEXT ซึ่งเป็นส่วนงานที่นำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในการทำงานมากขึ้น โดยปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้ประมาณ 5% โดยใช้กลยุทธ์คือ การเปิดรับพันธมิตรทางธุรกิจทุกส่วนมาร่วมกันทำงานมากขึ้น บริษัทมีแผนจะซื้อกิจการ ในธุรกิจ Outsource Company , Enterprise Technology และ Professional Training เพื่อเข้ามาเสริมความแกร่ง และสามารถต่อยอดธุรกิจเดิมให้เติบโตดียิ่งขึ้น คาดว่าจะสรุปผลการซื้อกิจการได้ 1 ราย ในช่วงไตรมาส 1/2565 นี้
“ปัจจุบันเป็นยุคที่ต้องช่วยเหลือกัน สร้างการเติบโตร่วมกัน งานส่วนไหนที่ไม่ถนัดหรือไม่เชี่ยวชาญ ก็ไปชวนคนที่เก่งกว่ามาช่วยกันทำงาน ไม่มีข้อจำกัดว่าจะเป็นคู่แข่งหรือธุรกิจที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน เนื่องจากตลาดของธุรกิจ Outsourcing Services ยังมีมูลค่าที่สูงมาก ยังสามารถช่วยกันทำงานและกระจายกันเติบโตได้ ซึ่งดีลที่จะปิดในไตรมาส 1/2565 คาดว่าจะเป็นดีลที่ส่งผลดีต่อเราค่อนข้างมาก” นายณัฐพล กล่าว
ส่วนแนวโน้มในปี 2565 บริษัทคาดว่าเศรษฐกิจจะเริ่มมีการฟื้นตัวขึ้นต่อเนื่อง และภาพธุรกิจก็คาดว่าเติบโตขึ้นตามทิศทางของเศรษฐกิจ โดยจะมุ่งเน้นการเสริมประสิทธิภาพให้กับบุคลากรของบริษัท ส่วนวงเงินลงทุนไม่ได้กำหนดไว้ ถ้ามีธุรกิจที่น่าสนใจ หรือตรงตามกลยุทธ์สามารถสร้างการเติบโตขึ้นได้อีก ก็จะพิจารณาเป็นกรณีไป ปัจจุบันบริษัทมีอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) อยู่ที่ 0.7 เท่า ยังมีความแข็งแกร่งในด้านการเงิน และความสามารถในการหาแหล่งเงินทุนเพิ่มเติมได้อีกในอนาคต