กลุ่มซีพี มอบเงิน รพ.ราชพิพัฒน์ ต่อลมหายใจผู้ป่วยโควิด -19

รพ.ราชพิพัฒน์ รับมอบเงินสนับสนุนจากเครือซีพี – ซีพีเอฟ ร่วมช่วยต่อลมหายใจผู้ป่วยโควิด-19

เครือเจริญโภคภัณฑ์ มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์ และ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (CPF)  ร่วมมอบเงินให้โรงพยาบาลราชพิพัฒน์ สำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร เพื่อนำไปจัดซื้อถังก๊าซอ๊อกซิเจนเหลว ใช้ดูแลผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 สนับสนุนการดำเนินงานทางการแพทย์ของภาครัฐและส่งเสริมการรักษาตามมาตรฐานให้คนไทยปลอดภัยและผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกัน

นายแพทย์ชัยยศ เด่นอริยะกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชพิพัฒน์ รับมอบเงินสนับสนุนจำนวน 1,551,928 บาท จากนายวรวิทย์ เจนธนากุล รองกรรมการผู้จัดการบริหาร ซีพีเอฟ ในนามผู้แทนนายสุภกิต เจียรวนนท์ ประธานกรรมการเครือเจริญโภคภัณฑ์ ใน “โครงการ ซีพี ร้อยเรียงใจ สู้ภัยโควิด-19” สมทบทุนโรงพยาบาลราชพิพัฒน์ นำไปจัดหาถังก๊าซอ๊อกซิเจนเหลวพร้อมติดตั้ง ขนาดความจุ 10,000 ลิตร สำหรับใช้ดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ที่อยู่ในความรับผิดชอบของโรงพยาบาล

นายแพทย์ชัยยศ กล่าวขอบคุณคณะผู้บริหารและเครือเจริญโภคภัณฑ์ ที่ได้ให้การสนับสนุนโครงการดังกล่าว โดยทางโรงพยาบาลฯ จะได้นำถังอ๊อกซิเจนเหลวพร้อมฐานรากขนาดความจุ 10,000 ลิตร ไปติดตั้งในหอผู้ป่วยของโรงพยาบาลฯ ต่อไป ช่วยส่งต่อลมหายใจให้กับผู้ป่วยให้ผ่านพ้นภาวะวิกฤตโควิด-19 และมีกำลังใจในการรักษาต่อไป

นายวรวิทย์ กล่าวว่า เครือเจริญโภคภัณฑ์ ตระหนักถึงความสำคัญของความร่วมมือในการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 พร้อมสนับสนุนการปฏิบัติงานของบุคลากรทางการแพทย์ให้เกิดความคล่องตัว ดูแลผู้ป่วยได้อย่างทันท่วงที สอดคล้องตามเจตนารมณ์ของนายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโสเครือซีพี ในการช่วยเหลือสังคมและตอบแทนคุณแผ่นดิน   นอกจากส่งมอบอาหารที่เครือซีพีทำมาอย่างต่อเนื่องแล้ว ยังให้ความช่วยเหลือในด้านอื่น ๆ เช่น การมอบอุปกรณ์และครุภัณฑ์ทางการแพทย์ รวมถึงของใช้จำเป็นในการสนับสนุนบุคลากรด่านหน้าในการรักษาพยาบาลผู้ป่วย

นับตั้งแต่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เครือเจริญโภคภัณฑ์ ผนึกกำลังบริษัทและกลุ่มธุรกิจในเครือภายใต้โครงการ “ซีพีร้อยเรียงใจ สู้ภัยโควิด-19″ ให้ความช่วยเหลือสังคม ทั้งการมอบเครื่องอุปโภค บริโภค อำนวยความสะดวกด้านระบบการสื่อสาร การสนับสนุนภารกิจด้านสาธารณสุข อุปกรณ์ทางการแพทย์ การสนับสนุนภารกิจของโรงพยาบาลสนาม และโรงพยาบาลต่างๆ ทั่วประเทศ รวมแล้ว กว่า 1,300 ล้านบาท