๐ ตลาดรอดูผลการประชุมเฟด FOMC ในวันที่ 23 ก.ย. โดยไฮไลท์ของการประชุมรอบนี้คือ การเปิดเผยคาดการณ์อัตราดอกเบี้ย (Dot Plot) ปี 2567 เป็นครั้งแรก
๐ ติดตามการเลือกตั้งของประเทศเยอรมนีวันที่ 26 ก.ย. ซึ่งปัจจุบันพรรค Social Democrats (SPD) ที่นำโดยนาย Olaf Scholz มีคะแนนนำพรรค Christian Democrats (CDU/CSU) ที่ 26% ต่อ 21%
๐ ตลาดหุ้นจีนได้รับผลกระทบจากความกังวลเรื่องความสามารถในการชำระหนี้ของ Evergrande Group ส่งผลให้ดอกเบี้ยหุ้นกู้ High Yield ในประเทศจีนปรับตัวพุ่งขึ้นแตะระดับ 13% ใกล้เคียงกับระดับตอนเกิดวิกฤตโควิดเดือน มี.ค. ปี 2563
๐ ในระยะยาวนักลงทุนไม่ควรมองข้ามการลงทุนในตลาดหุ้นจีน เนื่องจากปัจจุบันเศรษฐกิจจีนคิดเป็น 16% ของ GDP ทั้งโลก แต่ดัชนีหุ้นโลก MSCI ACWI ให้น้ำหนักหุ้นจีนเพียงแค่ 5% ซึ่งถือว่ายังมีสัดส่วนการลงทุนที่ ไม่สมเหตุสมผลอยู่มาก
Highlighted Funds
MGF : ในภาวะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปี อยู่ในระดับต่ำ จะเป็นปัจจัยหนุนให้หุ้นเติบโต อย่างหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีมีโอกาสฟื้นตัวได้ดีกว่าหุ้นกลุ่มวัฏจักร โดยเฉพาะหุ้นเติบโตที่มีคุณภาพดี (Quality Growth Stock) เนื่องจากหุ้นประเภทนี้จะมีส่วนแบ่งทางการตลาดสูง ขณะเดียวกันก็มีกำไรและรายได้เติบโตสม่ำเสมอ
MRENEW : หุ้นในกลุ่มพลังงานสะอาดที่เป็นหนึ่งในธีมการลงทุนของกองทุนหลัก ราคาหุ้นได้มีการปรับตัวลง จนทำให้ปัจจุบันมี Valuation ที่น่าสนใจอีกครั้ง สังเกตได้จากค่า Forward P/E ของดัชนี S&P Global Clean Energy Index ที่เป็นดัชนีชี้วัดของหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด ที่ลงมาอยู่บริเวณค่าเฉลี่ยในรอบ 2 ปี
MEURO : นักวิเคราะห์คาดการณ์ ปี 2564 ตลาดหุ้นยุโรปจะมีการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS) สูงกว่าภูมิภาคอื่น มีกำไรเติบโตสูงถึง 55%YoY นอกจากนี้ Valuation ของตลาดหุ้นยุโรปยังถูกเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดย Relative Forward P/E ของดัชนี FTSE World Europe ex UK และดัชนี S&P500 ปัจจุบันอยู่ที่ -1S.D.
MCBOND : ตราสารหนี้ภาคเอกชนจีนยังมีอัตราผลตอบแทน (Yield) สูงกว่าตราสารหนี้ภาคเอกชนสหรัฐฯ และมีความสัมพันธ์กับตราสารหนี้สหรัฐฯ ในระดับต่ำ ช่วยกระจายความเสี่ยงได้ดีหากเฟดเริ่มลดการอัดฉีดสภาพคล่อง ซึ่งกองทุนมีอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้เฉลี่ย BBB อยู่ในระดับ Investment Grade
Investment Strategy
สำหรับภาพรวมการลงทุนในสัปดาห์นี้มี 3 ประเด็นสำคัญที่นักลงทุนต้องเฝ้าติดตาม คือ
1) ผลการประชุมเฟด FOMC ซึ่งจะทราบผลในวันที่ 23 ก.ย. โดยไฮไลท์ของการประชุมรอบนี้คือ การเปิดเผยคาดการณ์อัตราดอกเบี้ย (Dot Plot) ปี 2567 เป็นครั้งแรก ซึ่งก่อนหน้านี้ Dot Plot ชี้ว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยในปี 2566 จำนวน 2 ครั้ง แต่ตลาดยังไม่ได้เห็นคาดการณ์ปี 2567 ว่าจะขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องหรือไม่
ขณะที่การส่งสัญญาณทำ QE Tapering เราน่าจะได้เห็นวงเงินในการลด QE ต่อเดือนชัดเจนขึ้นในการประชุมรอบนี้ ถึงแม้ว่าตัวเลขอัตราเงินเฟ้อผู้บริโภค CPI จะประกาศออกมาที่ 0.3%MoM ลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 แล้วก็ตาม
2) การเลือกตั้งของประเทศเยอรมนี (Bundestag) ในวันที่ 26 ก.ย. ซึ่งปัจจุบันพรรค Social Democrats (SPD) ที่นำโดยนาย Olaf Scholz มีคะแนนนำพรรค Christian Democrats (CDU/CSU) อยู่ที่ 26% ต่อ 21% โดยอดีตที่ผ่านมารัฐบาลเยอรมนีมักจะเป็นรัฐบาลที่มาจากพรรคร่วมอยู่เสมอ และครั้งนี้ Poll ส่วนใหญ่มองว่ามีโอกาสสูงที่พรรค CDU/CSU จะจับมือกับพรรค SPD เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลและมีที่นั่งรวมเกิน 50% จากทั้งหมด 598 ที่นั่ง ซึ่งจะทำให้รัฐบาลมีเสถียรภาพมากขึ้นจากการที่สองพรรคขนาดใหญ่ร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล
3) ความกังวลในการชำระหนี้ของ Evergrande ที่จะมีกำหนดชำระดอกเบี้ยหุ้นกู้ในวันที่ 23 ก.ย.นี้ ส่งผลให้ดอกเบี้ยหุ้นกู้ High Yield ในประเทศจีนปรับตัวพุ่งขึ้นแตะระดับ 13% ใกล้เคียงกับระดับตอนเกิดวิกฤตโควิด
อย่างไรก็ตาม เรามองว่ารัฐบาลจีนไม่อยากที่จะเห็น Evergrande ต้องผิดนัดชำระหนี้ รัฐบาลน่าจะเข้ามาช่วยเหลือเหมือนกรณี Huarong รัฐวิสาหกิจจีนในช่วงเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา และมองประเด็นปัญหาหนี้ของ Evergrande เป็นความเสี่ยงเฉพาะตัวของบริษัท ไม่ใช่ความเสี่ยงที่มีผลกระทบต่อตลาดทั้งระบบ (Systematic Risk)