บล.ทิสโก้มอง Evergrande กระทบกองหุ้นจีนจำกัด ชี้จังหวะซื้อเดือนต.ค.

HoonSmart.com>> บล.ทิสโก้ประเมินกรณี Evergrande กระทบกองทุนหุ้นจีนในเชิงพื้นฐานค่อนข้างจำกัด เหตุลดพอร์ตไปแล้ว ส่วนกองทุนที่ยังถือหุ้นส่วนใหญ่อิงดัชนี H Shares มองกระทบบรรยากาศลงทุนหุ้นจีนระยะสั้น คาดเดือนต.ค.เริ่มเป็นจังหวะเข้าซื้อ ด้านกองเด่นสัปดาห์นี้ KFHEALTH-A, KT-Shares-A ,KF-HEUROPE, TSF-A

บริษัทหลักทรัพย์ทิสโก้ วิเคราะห์กรณีจีนเผชิญความเสี่ยงครั้งใหญ่หลังสถาะการเงินของบริษัท Evergrande อสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่อันดับสองในจีนถึงจุดวิกฤต เริ่มจ่ายหนี้จำนวนมหาศาลไม่ไหว กำหนดนัดชำระดอกเบี้ยพันธบัตรที่จะถึงกำหนดจำนวน 83.5 ล้านดอลลาร์ในวันพฤหัสบดีนี้ มองผลกระทบต่อกองทุนจีนในเชิงพื้นฐานค่อนข้างจำกัด เนื่องจากสถานการณ์ของ Evergrande ที่โดนปรับความน่าเชื่อถือลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้กองทุนส่วนใหญ่มีการลดพอร์ตของบริษัทไปเป็นส่วนใหญ่แล้ว (กองทุนที่ยังมีหุ้นส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่อิง Index ของ H Shares) อย่างไรก็ตาม Sentiment การลงทุนที่เสียไปจะทำให้ตลอดจีนย่อตัวในระยะสั้น มองเดือนต.ค.น่าจะเริ่มเป็นจังหวะการเข้าซื้อได้หลังนโยบายการปฏิรูปต่างๆ เริ่มหมดลง

ทั้งนี้ Evergrande บริหารโครงการอสังหาริมทรัพย์มากกว่า 1,300 โครงการในกว่า 280 เมืองในประเทศจีน รวมถึงยังกระจายการลงทุนในธุรกิจอื่นๆ เช่น รถยนต์ ไฟฟ้า ฟุตบอล ประกันภัย และน้้าดื่มบรรจุขวด ทั้งนี้ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 2006 และมีส้านักงานใหญ่อยู่ที่เมืองเซินเจิ้น

จุดอ่อนของ Evergrande อยู่ที่ working capital ที่ส่วนใหญ่ไปกระจุกอยู่ในรูปแบบของคลังสินค้าซึ่งเป็นโครงการที่ยังสร้างไม่เสร็จจำนวนมาก โดยในช่วงเดือนมิ.ย.บริษัทมีสินค้าในคลังเป็นสัดส่วนกว่า 60% ของสินทรัพย์ทั้งหมด ส่วนโครงการที่กำลังพัฒนาเพิ่มขึ้นกว่า 54% จากสามปีก่อน

อย่างไรก็ตามภาวะสภาพคล่องของ Evergrande ที่แห้งเหือดลงเรื่อยๆ พร้อมความเสี่ยงการผิดชำระหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้นส่งผลให้อัตราผลตอบแทน Junk bond ของจีนปรับตัวสูงขึ้นสูงที่สุดในรอบเกือบสิบปี ที่ 14% ส่งผลให้กลุ่มอสังหาฯ ที่ระดมทุนผ่าน Junk bond เป็นส่วนใหญ่เผชิญสถานการณ์ต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้น

บล.ทิสโก้ มองตัวช่วยตัวสุดท้ายรอดูท่าทีของธนาคารกลางจีน ด้าน PBoC แม้จะได้มีการช่วยเพิ่มสภาพคล่องตลาดผ่านการอัดฉีดสภาพคล่อง 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์ด้วยสัญญาซื้อคืน 14 วันแต่ยังไม่มีท่าทีเข้าช่วยเหลือโดยตรง หนังสือพิมพ์ Global Times ซึ่งเป็นกระบอกเสียงให้แก่รัฐบาลกล่าว Evergrande ไม่ควรหวังจะพึ่งแต่รัฐบาลและคิดไปเองว่าตัวเองเป็นนั้น too big to fail โดยบรรณาธิการกล่าวเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่น่าจะก่อให้เกิดผลกระทบกับระบบ
การเงินเนื่องจาก Evergrande เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ไม่ใช่ธนาคาร และสัดส่วนการวางเงินดาวน์อสังหาริมทรัพย์ในจีนสูงมาก อย่างไรก็ดียังคงต้องติดตามดูความเคลื่อนไหวของรัฐบาลจีนต่อไป

ในขณะเดียวกันตลาดหุ้นโลกปรับตัวในกรอบแคบรอดูผลการประชุม Fed ในสัปดาห์นี้มีประเด็นที่ต้องจับตา คือ การเผยแผน Dot Plot ใหม่สำหรับปี 2024 และด้วยมุมมองของ Fed ที่มีความ Hawkish ขึ้นในช่วงที่ผ่านมาทำให้นักลงทุนกลับมากังวลเพิ่มขึ้ร

บล.ทิสโก้มองว่าความผันผวนของกลุ่มสินทรัพย์เสี่ยงจะเริ่มเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาส 4 หลังจากที่แผนการ Taper มีความขัดเจนขึ้นและผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวที่มีโอกาสเพิ่มขึ้นกดดันการประเมินมูลค่าของหุ้น อีกทั้งยังมีความเสี่ยงเชิงลบจากแผนการขึ้นภาษีของรัฐบาล Biden จะเป็นปัจจัยกดดันตลาดสหรัฐฯ ทำให้บล.ทิสโก้ยังคงมองยุโรปเป็นทางเลือกที่น่าสนใจกว่า

สำหรับกองทุนแนะนำ ได้แก่ กองทุน KFHEALTH-A เป็นกองทุนกลุ่ม Healthcare ที่มีการกระจายการลงทุนไปยังหุ้นกลุ่ม Healthcare ทั้ง Sector ทั้งในกลุ่มของการบริการทางการแพทย์, เทคโนโลยีทางการแพทย์และอื่นๆ แบบครบวงจร โดยกองทุนมีทั้งแบบไม่ป้องกันความเสี่ยงทางค่าเงิน KFHEALTH-A และ KFHHCARE-A สำหรับแบบป้องกันค่าเงิน (สำหรับกองทุนแม่คือ JPMorgan Funds-Global Healthcare Fund)

กองทุน KT-Shares-A โดยมองระยะสั้นตลาดหุ้นจีนยังโดนกดดันจากความไม่แน่นอนด้านนโยบายของทางการจีนว่าจะมีแผนที่กระทบภาคธุรกิจอย่างไรบ้าง อีกทั้งยังมีประเด็นหนี้สินของ Evergrande ที่เป็นตัวกดดัน Sentiment โดยรวมของตลาด ทำให้แม้ว่าในเชิงของการประเมินมูลค่าจะถูก แต่แนะนำให้รอสถานการณ์มีความชัดเจนเพิ่มขึ้นก่อน (กองทุนแม่ Allianz Global Investors Fund-China A-Shares)

กองทุน KF-HEUROPE แผนการลดวงเงินการเข้าซื้อสินทรัพย์เป็นประเด็นที่กระทบตลาดหุ้นทั่วโลกเช่นเดียวกัน แต่อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นยุโรปยังมีกาปรระเมินมูลค่าที่ต่ำกว่าตลาดสหรัฐฯ ทำให้มองว่าในระยะสั้นตลาดหุ้นยุโรปน่าจะมีการปรับตัวที่ดีกว่า ((กองทุนแม่ Allianz Europe Equity Growth Fund)

กองทุน TSF-A เป็นกองทุนหุ้นไทยพื้นฐานดีที่เน้นการลงทุนแบบ Active โดยมีหุ้นในกอง 10-15 ตัวและมีการลงทุนในรูปแบบที่รวดเร็วปรับตัวตามสถานการณ์ มองว่าบริเวณแนวรับที่ 1,600-1,620 จุดเป็นจุดที่น่าลงทุนไม้แรก สำหรับคนที่ไม่มีและสำหรับผู้ต้องการลงทุน TSF-SSF แต่สำหรับคนที่มีอยู่แล้วแนะนำถือรอการฟื้นตัวในปีหน้า