SVT เตรียมขาย IPO จำนวน 200 ล้านหุ้น เข้าเทรด SET ต้นเดือน ต.ค.นี้

HoonSmart.com>> “ซันเวนดิ้ง เทคโนโลยี” เตรียมเสนอขายหุ้นไอพีโอจำนวน 200 ล้านหุ้น พาร์ 1 บาทต่อหุ้น คาดเปิดจองหุ้นช่วงสิ้นเดือน ก.ย.นี้ เข้าเทรดตลาดหลักทรัพย์ฯช่วงต้นเดือน ต.ค. ระดมทุนขยายธุรกิจ เพิ่มเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ-ลงทุนพัฒนาระบบและจัดหาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับเครื่องอัตโนมัติแบบ Smart  ในอนาคตขยายธุรกิจไปภูมิภาคอาเซียน

นายวิชา โตมานะ กรรมการผู้จัดการ สายงานวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นเพิ่มทุนของบริษัท ซันเวนดิ้ง เทคโนโลยี (SVT) เปิดเผยว่า SVT เตรียมเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนแก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 200 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 1 บาทต่อหุ้น คิดเป็น 28.57% ของหุ้นทั้งหมดหลัง IPO ปัจจุบันได้รับอนุญาตให้เสนอขายหุ้นจากทางสำนักงาน ก.ล.ต เรียบร้อยแล้ว อยู่ระหว่างการทำแผนเสนอขาย และสรุปราคาที่เหมาะสม คาดว่าจะเปิดให้นักลงทุนจองซื้อสิ้นเดือน ก.ย.นี้ และคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้ในช่วงต้นเดือน ต.ค.2564

” SVT เป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจค้าปลีก ที่มีเทคโนโลยีเข้ามาเสริมความแข็งแกร่ง และแผนการใช้เงินระดมทุน เพื่อขยายธุรกิจ ทำให้ศักยภาพในการเติบโตมีอีกมาก นอกจากนี้ SVT  ขายสินค้าเป็นเงินสด ทำให้มีสภาพคล่องค่อนข้างมาก  สามารถนำไปจ่ายปันผล ตามนโยบายการจ่ายปันผลที่ไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิ หลังหักค่าใช้จ่ายต่างๆ จึงมองว่าหุ้น SVT เป็นหุ้น Growth Stock ได้ และในช่วงโรดโชว์ที่ผ่านมาได้รับความน่าใจจากนักลงทุนสถาบันในประเทศและต่างประเทศค่อนข้างมาก เราจึงจัดสรรหุ้นให้กับกองทุนส่วนหนึ่งด้วย” นายวิชา กล่าว

ด้านนางอาภัสรา ภาณุพัฒนา กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ซันเวนดิ้ง เทคโนโลยี (SVT) กล่าวถึงวัตถุประสงค์การระดมทุนในครั้งนี้ว่า บริษัทจะนำเงินไปใช้ในการจัดหาเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ เพื่อขยายการติดตั้งให้บริการครอบคลุมทั่วประเทศไทย โดยมีเป้าหมายในปี 2566 มีจำนวนเครื่องทั้งหมดที่ 20,000 เครื่อง ทั้งในรูปแบบของการขยายเองและขยายผ่านแฟรนไชส์ จากปัจจุบันมีจำนวนเครื่องประมาณ 14,000 เครื่อง

สำหรับเงินระดมทุนอีกส่วน บริษัทจะนำไปใช้พัฒนาระบบและจัดหาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ สำหรับเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ แบบ Smart ด้วย โดยมีเป้าหมายจะพัฒนาเครื่องเดิมให้เป็นเครื่องรูปแบบ Smart เบื้องต้นคาดว่าจะทำได้ประมาณ 75% ของจำนวนเครื่องทั้งหมด จากปัจจุบันมีสัดส่วนเพียง 10% เท่านั้น ซึ่งการพัฒนาเครื่องด้วยการนำระบบเทคโนโลยีเข้ามา จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจ และเพิ่มยอดขาย เนื่องจากมีระบบ E-Payment สามารถรับชำระเงินในช่องทางที่หลากหลายได้

ขณะที่แนวโน้มธุรกิจในปี 2564 คาดว่าจะเติบโตได้ดีกว่าปีก่อนหน้า เนื่องจากในช่วงปี 2563 เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ยอดขายลดลงเล็กน้อย ตามช่วงเวลาการทำงานที่ลดลง แต่บริษัทยังคงมุ่งเน้นการให้บริการนำเสนอสินค้าหลากหลาย โดยมีแผนจะก่อสร้างศูนย์กระจายสินค้าเพิ่มอีก 3 แห่ง (ภาคเหนือ, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้) จากเดิม 11 แห่ง เพื่อให้ครอบคลุมมากกว่า 26 จังหวัด และทำแผนขยายธุรกิจในรูปแบบแฟรนไชส์ ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ รวมถึงขยายธุรกิจไปยังภูมิภาคอาเซียนด้วย เบื้องต้นคาดว่าจะเข้ากลุ่มประเทศ CLMV ก่อน นอกจากนี้ยังมีแผนพัฒนาสินค้าที่เป็นแบรนด์ของ SVT เอง เพื่อเพิ่มความสามารถในการทำกำไร

ส่วนผลประกอบการในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2564 ที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้รวม 972.62 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.39% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยรายได้ส่วนใหญ่มาจากการขายสินค้าผ่านเครื่องอัตโนมัติสัดส่วนประมาณ 98% ของรายได้รวม และรายได้จากการขายเครื่องอัตโนมัติและการให้บริการพื้นที่โฆษณาบนเครื่องอัตโนมัติ สัดส่วนอย่างละ 1% ของรายได้รวม ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 39.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.23% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

ด้านผลประกอบการ 3 ปีย้อนหลัง (2561-2563) บริษัทมีรายได้รวม 1,699.35 ล้านบาท , 1,805.61 ล้านบาท และ 1,767.36 ล้านบาท ตามลำดับ และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 132.2 ล้านบาท , 93.3 ล้านบาท และ 55.5 ล้านบาท ตามลำดับ โดยสาเหตุที่กำไรสุทธิลดลง เนื่องจากนำเงินไปใช้เพื่อการขยายธุรกิจให้มีการเติบโตต่อเนื่อง และอนาคตคาดว่าจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ตามจำนวนเครื่องอัตโนมัติที่เพิ่มมากขึ้นในอุสาหกรรม

“เรายังคงตั้งเป้าที่จะมีอัตราการเติบโตให้ดีขึ้น และรักษาส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 ไว้ ซึ่งจากแผนที่วางไว้ในข้างต้น เราเชื่อว่าจะทำให้การเติบโตของ SVT ดีขึ้นค่อนข้างมาก และเมื่อไหร่ที่โควิด-19 สิ้นสุดลง เราจะขยายไปต่างประเทศ ยิ่งทำให้เติบโตได้อย่างก้าวกระโดด โดยหวังว่าในอนาคตอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) และอัตราผลตอบแทนสินทรัพย์(ROA)จะกลับไปที่ระดับสูงเหมือนปี 2561 ที่ 27.28% และ 14.67% ตามลำดับ” นางอาภัสรา กล่าว