หยวนต้า ประเมิน APURE ไตรมาส 3 กำไรนิวไฮ 110 ล้านบ. ชี้เป้า 13.40 บาท

HoonSmart.com>>บล.หยวนต้า ประเมิน APURE ไตรมาส 3 กำไร 110 ล้านบ.โต 28% ชี้เป้าเหมาะสม  13.40 บาท

บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย ) ออกบทวิเคราะห์ บริษัท อกริเพียว โฮลดิ้งส์ (APURE) ข้าวโพดว่าหวานแล้ว กำไร 3Q64 หวานละมุนยิ่งกว่า ให้ราคาเหมาะสม 13.40 บาท

คาดการณ์กำไรสุทธิ 3Q64 โต 28% QoQ และ 43% YoY

คาดกำไรสุทธิ 3Q64 ที่ 110 ล้านบาท โต 28% QoQ และ 43% YoY เพราะความต้องการในยุโรป (นำเข้า 41% ของยอดการนำเข้าข้าวโพดหวานทั่วโลก) และสหรัฐฯ (นำเข้า 7% ของยอดการนำเข้าข้าวโพดหวานทั่วโลก) เร่งตัวขึ้นมาก  จากการสำรวจในเว็บไซด์สั่งซื้อสินค้าออนไลน์ของไฮเปอร์มาร์เก็ตทั้งยุโรปและสหรัฐฯ เริ่มมีสินค้าไม่พอจำหน่ายในบางขนาด

(สาเหตุความต้องการสูงขึ้น เพราะผู้บริโภคให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพหลัง COVID-19 และอีกส่วนคือ การเตรียมไว้บริโภคในช่วงฤดูหนาว เพราะยังไม่แน่ว่าจะต้องกลับไปล็อกดาวน์อีกหรือไม่) ทำให้ลูกค้าของ APURE มีการเร่งสต็อกสินค้า โดยให้ APURE เป็นผู้ผลิตแบบ OEM แล้วลูกค้าจะจัดหาเรือมารับสินค้าเอง ซึ่ง การที่ APURE ไม่ต้องรับภาระในการขนส่งสินค้า สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง

เดือน ก.ค. 64  สามารถส่งออกได้ 400 ตู้คอนเทนเนอร์ และขยับเป็น 500 ตู้ในเดือน ส.ค. 64  ผู้บริหารคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 600 ตู้ ในเดือน ก.ย. 64 ถ้าเป็นไปตามนี้ ยอดส่งออกเฉลี่ยจะอยู่ที่ 500 ตู้ต่อเดือน สูงกว่ายอด ส่งออกเฉลี่ย 2Q64 ที่ 350 ตู้ต่อเดือนราว 43% QoQ

จากผลของ Economy of scale ตามการใช้กำลังการผลิต ที่สูงขึ้น คาดว่าอัตรากำไร ขั้นต้น จะทรงตัวในระดับสูงกว่า 30% ใกล้เคียงกับ 2Q64 ที่ 31.7% ซึ่งเป็นระดับที่ดีที่สุดในรอบ 5 ปี

แนวโน้มกำไรสุทธิ 4Q64 มีโอกาสทำสถิติใหม่

คำสั่งซื้อในช่วง 4Q64 เฉลี่ยอยู่ที่ 900 ตู้ต่อเดือน เพราะสหรัฐฯและยุโรปเผชิญกับปัญหาน้ำท่วม ทำให้พื้นที่เพาะปลูกได้รับความเสียหาย ตรงข้ามกับประเทศไทยที่ภูมิอากาศปีนี้เอื้อต่อการปลูกข้าวโพดหวาน

ผลผลิตที่ออกมาให้ Yield ในระดับสูง ทุก 1 ไร่ ให้ผลผลิตเกือบ 3 ตัน และให้เนื้อข้าวโพดต่อกิโลกรัมที่ระดับ 39-40% เมื่อผนวกกับ การควบคุมต้นทุนโดยการเพิ่มสายการผลิตกระป๋องเป็นของตัวเอง (ต้นทุนกระป๋องคิดเป็น 30% ของต้นทุนรวม), การจัดหาเรือของลูกค้ารายใหญ่ เพื่อมารับสินค้าได้มากขึ้น, และเงินบาท ที่มีแนวโน้มอ่อนค่าต่อเนื่อง (อยู่ที่ 32.90 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐฯ อ่อนค่ามาแล้ว 10% YTD)

คาดว่ากำไรสุทธิ 4Q64 จะเร่งตัว ทำสถิติสูงสุดใหม่ ที่ระดับ 120-130 ล้านบาท กำไรสุทธิทั้งปี 2564 ที่ 390 ล้านบาท โต 22% YoY และปี 2565 ที่ 580 ล้านบาท
เติบโต 49% YoY โดยกำไรสุทธิปี 2565 จะได้แรงหนุนจากการรับรู้คำสั่งซื้อของลูกค้ารายใหญ่ในยุโรปและสหรัฐฯเต็มปี โดยเฉพาะจากยุโรป คำสั่งซื้อเร่งตัวขึ้นมาก หลังจาก APURE ชนะคดีภาษีทุ่มตลาด ในช่วงปลายปี 2563  ถือเป็นผู้ประกอบการไทยรายเดียวที่ถูกจัดเก็บภาษีสินค้านำ เข้าในอัตราปกติที่ 3% (รายอื่นถูกเก็บ 13%)

นอกจากนี้ เราคาดว่าการเพิ่มกำลังการผลิต และการควบคุมต้นทุนโดยการ
ผลิตกระป๋องเป็นของตัวเอง รวมไปถึงการเปิดตัวสินค้าใหม่ เช่น ข้าวโพดแช่แข็ง ที่ความต้องการสูงในยุโรปและญี่ปุ่น จะหนุนผลประกอบการอย่างมีนัยสำคัญได้ตั้งแต่ 1Q65 เป็นต้นไป

ประเมินราคาเหมาะสมปี 2565 ได้เท่ากับ 13.40 บาท

การนำองค์ประกอบของ ESG เข้ามาประเมินความเสี่ยงสำหรับการวิเคราะห์ด้วย  ซึ่ง การดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อมรอบโรงงานเป็นอย่างดี ทำให้ APURE สามารถสร้าง Yield การผลิตได้สูงกว่าคู่แข่ง โดยไม่เคยมีข้อขัดแย้งกับสังคมรอบโรงงานหรือพื้นที่ปลูก ส่งผลให้ผลประกอบการผันผวนน้อยกว่าอุตสาหกรรม (ผลประกอบการ 5 ปีย้อนหลังไม่เคยขาดทุน)  สอดคล้องกับค่าเบต้าที่อยู่ในระดับต่ำเพียง 0.48 เท่า เทียบค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ 0.79 เท่า

ขณะที่ ฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง เป็น Net Cash มีเงินสดในมือ 0.20 บาท/หุ้น  ในเชิงของ Valuation ราคาหุ้นควรซื้อขายด้วย Multiplier ที่สูงกว่ากลุ่ม อย่างไรก็ตาม เพื่อคำนึงถึงหลักความความระมัดระวัง ประเมิน ราคาเหมาะสมปี 2565 โอยอิง PER Multiplier เฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ 22 เท่า ได้ราคาเหมาะสมเท่ากับ 13.40 บาทคาดการณ์ผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ระดับ 3-4% ต่อปี

เนื่องจาก APURE ยังไม่ได้อยู่ใน Coverage ของเรา คำแนะนำ จึงเป็นเชิงกลยุทธ์ ซึ่งเหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง ทางเทคนิคมีแนวรับที่กรอบ 8.50-9.50 บาท และจุดตัดขาดทุนที่ 7.50 บาท

ความเสี่ยง – ความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ค่าเงิน และราคาวัตถุดิบ รวมถึงสภาพอากาศที่อาจกระทบ ต่อต้นทุนการผลิตซงึ่ ไม่สามารถคาดการณ์ได้