บลจ.เอไอเอ มองบวก “หุ้นสหรัฐฯ-ยุโรป” ตราสารหนี้เอเชียน่าลงทุน

HoonSmart.com>> บลจ.เอไอเอ มองลงทุนครึ่งปีหลัง “ตลาดหุ้นสหรัฐฯ-ยุโรป” ยังน่าสนใจ ด้านตราสารหนี้เอเชียน่าลงทุนมากกว่าตลาดสหรัฐฯ ส่วนหุ้นไทยเริ่มน่าสนใจมากขึ้นหลังผู้ติดเชื้อรายวันลดลง ฉีดวัคซีนได้มากขึ้น หวังกลับมาเดินหน้าเศรษฐกิจ พร้อมเปิดผลงานครบรอบ 1 ปีบริหาร 11 กองทุนสร้างผลตอบแทนน่าพอใจ เดินหน้าผลักดันธุรกิจประกันชีวิตสู่ New Era ของผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตควบการลงทุน (ยูนิต ลิงค์) ตอบโจทย์รอบด้านประกันชีวิต ประกันสุขภาพ และการลงทุน

สุขวัฒน์ ประเสริฐยิ่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.เอไอเอ (ประเทศไทย) จำกัด และพีร พนิตผล ผู้อำนวยการฝ่ายยูนิต ลิงค์ เอไอเอ ประเทศไทย แถลงข่าวออนไลน์ “ครบรอบ 1 ปี บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอไอเอ (ประเทศไทย) จำกัด”

นายสุขวัฒน์ ประเสริฐยิ่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนเอไอเอ (ประเทศไทย) จำกัด (AIAIMT) เปิดเผยว่า บลจ.เอไอเอ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า มุมมองการลงทุนในครึ่งปีหลังของปี 2564 เศรษฐกิจของประเทศที่พัฒนาแล้วมีการฟื้นตัวต่อเนื่องและปรับตัวเข้าสู่การเติบโตเต็มศักยภาพ ในขณะที่เศรษฐกิจของประเทศตลาดเกิดใหม่ ส่วนใหญ่ยังเผชิญกับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ความแตกต่างนี้จะนำไปสู่การดำเนินนโยบายการเงินที่แตกต่างกัน ประเทศที่พัฒนาแล้วอาจมีการพิจารณาปรับลดมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ อาทิ การปรับลดปริมาณการซื้อพันธบัตรของธนาคารกลางสหรัฐฯ และการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ ซึ่งนักลงทุนในตลาดคาดว่าจะเริ่มปรับขึ้นในไตรมาสแรกของปี 2566 ในขณะที่ประเทศตลาดเกิดใหม่ยังคงพึ่งพานโยบายของภาครัฐในการช่วยพยุงเศรษฐกิจ พลวัตนี้จะนำมาซึ่งความผันผวนในตลาด

ในระยะสั้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำจากแรงกดดันด้านปริมาณการออกจำหน่ายพันธบัตรใหม่ที่ลดลง ในขณะที่สภาพคล่องในตลาดเงินยังคงอยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตาม เมื่อธนาคารกลางสหรัฐฯ เริ่มปรับลดปริมาณการอัดฉีดสภาพคล่องผ่านการซื้อพันธบัตรของธนาคารกลางสหรัฐฯ ประกอบกับการปรับเพิ่มเงินคงคลัง จะนำไปสู่การปรับขึ้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตร สะท้อนภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ฟื้นตัว

“แม้เฟดอาจส่งสัญญาณปรับลด QE แต่เม็ดเงินที่อัดฉีดเข้ามายังอยู่ในระบบหนุนให้ราคาสินทรัพย์ปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งต้องจับตาดูว่าเมื่อไรเงินก้อนนี้จะลดลง ขณะเดียวมองผลกระทบต่อตลาดห้นไทยไม่น่ากังวลหากลด QE เนื่องจากที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยออกไปมากแล้ว อย่างไรก็ตามการปรับตัวขึ้นของหุ้นไทยจะไปในทิศทางเดียวกับทั่วโลกจากสภาพคล่องในระบบที่มีจำนวนมาก”นายสุขวัฒน์ กล่าว

ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวลดลง แต่บริษัทจดทะเบียนยังคงเดินหน้าประกาศผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง โดยหุ้นที่อยู่ในดัชนี S&P500 เกินกว่า 80% ยังคงรายงานผลการดำเนินงานได้ดีกว่าที่ตลาดคาด เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจที่เอื้อต่อการทำธุรกิจสนับสนุนการฟื้นตัวของผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจที่มีความอ่อนไหวต่อภาวะเศรษฐกิจและทำให้การลงทุนในหุ้นมีแต้มต่อ เมื่อพิจารณาถึงส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนในหุ้นเมื่อเทียบกับอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ยังคงปรับตัวสูงขึ้น

“เรายังคงมีมุมมองเป็นบวกต่อการลงทุนในหุ้นมากกว่าตราสารหนี้โดยเฉพาะหุ้นในตลาดที่พัฒนาแล้ว นำโดยหุ้นจดทะเบียนในสหรัฐฯและยุโรป เนื่องจากสภาพคล่องส่วนเกินที่สูงจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้หุ้นมีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าตราสารหนี้ต่อไป อย่างไรก็ดี ยังคงต้องจับตามองความเสี่ยงด้านการควบคุมการระบาดของไวรัส การกลายพันธ์ของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่อาจเกิดขึ้นได้ การเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ และความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ ตลอดจนความไม่แน่นอนเรื่องจังหวะเวลาที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะเริ่มถอนมาตรการสนับสนุนทางการเงิน โดยเชื่อว่าความคล่องตัวในการปรับสัดส่วนการลงทุนและการลงทุนในหุ้นวัฐจักร ซึ่งโดยมากมีการเติบโตที่สม่ำเสมอและราคาหุ้นอยู่ในระดับที่ไม่แพง จะสร้างความสมดุลย์ให้พอร์ตการลงทุนในช่วงภาวะที่มีความผันผวนสูงได้”นายสุขวัฒน์ กล่าว

ส่วนมุมมองการลงทุนในตลาดหุ้นไทยนั้น หลังจากที่เริ่มมีการผ่อนคลายการล็อกดาวน์ จำนวนตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันลดลง รวมถึงผู้ได้รับวัคซีนมีจำนวนเพิ่มขึ้นในแต่ละวัน ทำให้ความคาดหวังในการกลับมาเดินหน้าเศรษฐกิจของประเทศ มีมุมมองเชิงบวกมากขึ้น อีกทั้งจากที่เศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัวสนับสนุนให้กลุ่มอุตสาหกรรมหลักๆ ของไทย โดยเฉพาะภาคการผลิตเริ่มกลับมาดีขึ้น อาทิ พลังงาน สินค้าพื้นฐาน และการเงินของไทย อย่างไรก็ตาม ภาคการบริการที่รวมถึงการท่องเที่ยวและการใช้จ่ายในประเทศยังเป็นที่น่ากังวล แต่โดยรวมตลาดการลงทุนในประเทศไทยเริ่มมีความน่าสนใจมากขึ้น

ในส่วนของตราสารหนี้มองว่าตราสารหนี้ในเอเชียยังน่าลงทุนเมื่อเทียบกับตราสารหนี้ในตลาดสหรัฐฯ เนื่องจากส่วนชดเชยความเสี่ยงการผิดนัดชำระที่สูงกว่า

นายสุขวัฒน์ กล่าวว่า ปัจจุบันบลจ.เอไอเอ (ประเทศไทย) ครบรอบ 1 ปี ในการเปิดดำเนินธุรกิจ ปัจจุบันครองส่วนแบ่งในตลาดกองทุนส่วนบุคคลที่ 39.71% ซึ่งเป็นอันดับ 1 ของอุตสาหกรรม ในส่วนของกองทุนรวมมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิรวม 31,485 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการเติบโตที่ดีมากแม้ในช่วงวิกฤตการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหาร (AUM) รวมประมาณ 853,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นบลจ.ขนาดใหญ่ติด 5 อันดับแรกของบลจ.ในประเทศไทย ซึ่งเอไอเอ (ประเทศไทย) มีความภูมิใจที่มีส่วนเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนตลาดทุนของไทย

บลจ.เอไอเอ (ประเทศไทย) ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2563 โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อบริหารจัดการสินทรัพย์ของ เอไอเอ ประเทศไทย และบริหารจัดการเงินลงทุนในกอทุนรวมจากกรมธรรม์ประกันชีวิตควบการลงทุน (ยูนิต ลิงค์) ของ เอไอเอ ประเทศไทย เพื่อมอบบริการด้านการลงทุนและผลประโยชน์ที่มั่นคงและยั่งยืนให้แก่ลูกค้า

ปัจจุบันมีกองทุนรวมภายใต้การบริหาร 11 กองทุน ประกอบด้วย กองทุนรวมที่ลงทุนในประเทศ 5 กองทุน และกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ 6 กองทุน ซึ่งได้ผนึกกำลังกับ 3 พันธมิตรทางธุรกิจระดับโลกที่มีความเชี่ยวชาญในการบริหารการลงทุน ได้แก่ Wellington Management, Baillie Gifford และ Black Rock โดยทุกกองทุนภายใต้การบริหารของ บลจ.เอไอเอ (ประเทศไทย) จัดตั้งขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ให้กับลูกค้าทั้งในด้านการบริหารความเสี่ยง และให้บรรลุตามวัตถุประสงค์การลงทุนระยะยาวของผู้ถือกรมธรรม์ประกันชีวิตควบการลงทุน (ยูนิต ลิงค์) ของ เอไอเอ ประเทศไทย โดยเฉพาะ

นายสุขวัฒน์ กล่าวว่า สำหรับผลตอบแทนจากการลงทุนของกองทุนภายใต้บริหารของบลจ.เอไอเอในรอบ 1 ปีที่เปิดดำเนินงาน กองทุนหุ้นไทยติดอยู่ในกลุ่ม Quartile 1-2 ของมอร์นิ่งสตาร์ ผลตอบแทนประมาณ 16-17% ส่วนกองทุน Global Allocation ลงทุนต่างประเทศตามระดับความเสี่ยงจาก 3 กองทุน ผลตอบแทน 7%, 13% และ 19% ตามลำดับ เป็นต้น

น.ส.จินตนา เมฆินทรางกูร ผู้อำนวยการฝ่ายตราสารทุน บลจ.เอไอเอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นแบบเปราะบางจากหุ้นขนาดใหญ่ไม่กี่ตัวที่มีสภาพคล่องต่ำ ซึ่งภาพใหญ่ยังเอื้อต่อการลงุทน บาจังหวะตลาดหุ้นก็ขึ้นจากหุ้นขนาดเล็ก แต่ถือเป็นการปรับระหว่างทาง อย่างไรก็ตามหากภาพใหญ่ยังดูดีเมื่อบริษัทจดทะเบียนต่างฟื้นตัวได้ดีขึ้น ขณะเดียวกันรัฐมีแผนกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ ซึ่งจะช่วยให้ภาคเศรษฐกิจจากภาคบริการน่าจะฟื้นตัวได้ จึงเชื่อว่าเมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวขึ้นจะสะท้อนกลับที่บริษัทจดทะเบียน ภาพรวมยังมองหุ้นดี แต่จะมีความผันผวนบ้าง เพราะตลาดหุ้นโลกก็ขึ้นมามากจากสภาพคล่องที่สูงส่งผลให้ความผันผวนมากขึ้น แต่ด้วยพื้นฐานที่แท้จริงจะเป็นตัวซัพพอร์ตตลาดหุ้น

อย่างไรก็ตามด้วยปรัชญาการลงทุนของ บลจ.เอไอเอ (ประเทศไทย) ที่ต้องการตอบโจทย์ด้านการลงทุนให้กับผู้ถือกรมธรรม์ประกันชีวิตควบการลงทุน เพื่อให้ลูกค้าได้รับความสะดวกสบาย ง่าย และมีประสิทธิภาพ เราจึงมุ่งเน้นการบริหารจัดการการลงทุนที่มีความยั่งยืนและสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวให้กับลูกค้าประกันยูนิต ลิงค์ ของเอไอเอ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าลูกค้าสามารถไปให้ถึงเป้าหมายระยะยาวที่ตั้งเอาใว้

ในขั้นตอนการลงทุน บลจ.เอไอเอ (ประเทศไทย) ได้นำวิธีการบริหารกองทุนในรูปแบบเดียวกับนักลงทุนสถาบันมาปรับใช้กับการบริหารกองทุนรวม เพื่อให้ลูกค้าประกันยูนิต ลิงค์ ของเอไอเอ สามารถเข้าถึงศักยภาพการลงทุนจากพันธมิตรการลงทุนของกลุ่มเอไอเอได้อย่างเต็มรูปแบบ การันตีได้จากรางวัล BEST NEW ASSET MANAGEMENT COMPANY THAILAND ประจำปี 2564 จากนิตยสาร GLOBAL BANKING & FINANCE REVIEW ซึ่งเป็นรางวัลที่สื่อด้านการเงินการลงทุนชั้นนำจากประเทศอังกฤษมอบให้

นายพีร พนิตผล ผู้อำนวยการฝ่ายยูนิต ลิงค์ เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวว่า วิกฤตโควิด 19 นี้ ทุกอุตสาหกรรมล้วนได้รับผลกระทบไม่มากก็น้อย ซึ่งในอุตสาหกรรมประกันชีวิตก็เช่นกัน จากรายงานของสมาคมประกันชีวิตไทยภาพรวมอุตสาหกรรมประกันชีวิตในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 เทียบกับช่วงครึ่งปีแรกของปี 2563 เบี้ยประกันภัยรับปีแรก (FYP) มีอัตราการเติบโตลดลง 5% แต่ผลิตภัณฑ์ประเภทประกันชีวิตควบการลงทุน หรือยูนิต ลิงค์ ยังคงเติบโตได้ดีสวนทางกับอุตสาหกรรมถึง 137% จากปีที่ผ่านมา

สาเหตุเพราะผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตควบการลงทุนสามารถตอบโจทย์ทั้งในด้านความคุ้มครอง ค่าเบี้ยประกันภัย และระยะเวลาการจ่ายเบี้ยประกันภัยที่ลูกค้าออกแบบเองได้ โดยเราได้รับความใว้วางใจจากลูกค้ากว่า 1.9 แสนกรมธรรม์ ทำให้ เอไอเอ ประเทศไทย ครองอันดับ 1 ในอุตสาหกรรมยูนิต ลิงค์ ต่อเนื่องมายาวนานกว่า 6 ปี และถึงแม้ในปัจจุบัน เอไอเอ ประเทศไทย สามารถก้าวขึ้นไปเป็นผู้นำด้านผลิตภัณฑ์ยูนิต ลิงค์ แต่ก็ไม่หยุดที่จะมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อตอบโจทย์ให้ลูกค้าได้รับประโยชน์สูงสุด ตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives – เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น’ ของคนไทยทั่วประเทศ”

นายพีร กล่าวว่า ล่าสุด เอไอเอ ประเทศไทย เดินหน้าปักธงยืนหนึ่งในด้านผลิตภัณฑ์ประกันในกลุ่มเด็กที่ดี ตอบโจทย์ และครบวงจรที่สุด ด้วยการเปิดตัว 2 ผลิตภัณฑ์ใหม่ ผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพ ‘AIA Health Happy – UDR’ ซึ่งเป็นสัญญาเพิ่มเติมของผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต AIA Issara Plus (Unit Linked) โดยเป็นการผสานระหว่างความคุ้มครองชีวิตและสุขภาพให้ครอบคลุม 360 องศา เพื่อส่งมอบความอุ่นใจแก่ผู้ปกครอง โดดเด่นด้วยความคุ้มครองแบบ ‘เหมา เบิ้ล คุ้ม’ ไม่จำกัดวงเงินต่อการเข้ารักษาตัวครั้งใดครั้งหนึ่ง

ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตควบการลงทุน ‘AIA Infinite Gift Prestige’ (Unit Linked) ที่มุ่งตอบโจทย์ความต้องการในการส่งมอบความมั่นคงและมั่งคั่งแทนความรักจากรุ่นสู่รุ่น ผ่านการวางรากฐานเตรียมความพร้อมในทุกด้านตั้งแต่วัยเยาว์ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าบุตรหลานจะสามารถเดินตามความฝันในวันที่เติบโต และมีความพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ในอนาคต โดยการวางแผนทางการเงินระยะยาว ผ่านประกันควบการลงทุน* ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘ของขวัญจากความรัก ที่ไม่มีข้อแม้’