HoonSmart.com>> “ทริสเรทติ้ง” ลดอันดับเครดิต “เอ็ม บี เค” พร้อมหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ เป็น A- จาก A แนวโน้ม Stable สะท้อนผลดำเนินงานอ่อนตัวจากการระบาดโควิดยาวนาน กระทบรายได้หลัก ศูนย์การค้า “เอ็มบีเค เซ็นตอร์” ฉุดการฟื้นตัวล่าช้ากว่าประมาณการ คาดค่อยๆ ฟื้นตัวปี 65-66 รายได้เติบโต 25% และ 10% ตามลำดับ ด้านธุรกิจเกี่ยวข้องการท่องเที่ยวคาดทยอยฟื้นตัวตามภาคท่องเที่ยว ส่วนสภาพคล่องยังสูง/strong>
บริษัท ทริสเรทติ้ง ปรับลดอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท เอ็ม บี เค (MBK) เป็นระดับ A- จากเดิมที่ระดับ A โดยมีแนวโน้มอันดับเครดิต Stable หรือ คงที่ การลดอันดับเครดิตในครั้งนี้สะท้อนถึงผลการดำเนินงานของบริษัทที่อ่อนตัวลงจากสาเหตุของการแพร่ระบาดที่ยาวนานของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) โดยผลการดำเนินงานของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวของบริษัทได้รับผลกระทบอย่างมากและโอกาสในการฟื้นตัวก็ล่าช้าไปจากที่ทริสเรทติ้งประมาณการไว้อันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดรอบใหม่และการฉีดวัคซีนที่ล่าช้า
ในขณะที่ระยะเวลาในการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติก็ต้องขยายออกไปเนื่องจากการแพร่ระบาดยังคงพัฒนาต่อไปอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่อุปสงค์ของผู้บริโภคภายในประเทศยังคงชะลอตัว อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตดังกล่าวยังคงสะท้อนถึงแหล่งรายได้จากธุรกิจที่หลากหลายและความยืดหยุ่นทางการเงินที่เข้มแข็งของบริษัทตลอดจนการมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับกลุ่มธนชาต
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต การแพร่ระบาดที่ยาวนานของโรคโควิด 19 ส่งผลให้ผลการดำเนินงานอ่อนตัวลง ทั้งนี้ ในปี 2564 ผลการดำเนินงานของบริษัทโดยเฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวนั้นยังคงถดถอยลงจากผลของการแพร่ระบาดที่รวดเร็วของโรคโควิด 19 สายพันธุ์เดลต้าและการฉีดวัคซีนที่ล่าช้าในประเทศไทย โดยศูนย์การค้าของบริษัทได้รับผลกระทบอย่างมากจากการแพร่ระบาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งศูนย์การค้าที่สร้างรายได้หลักคือ เอ็มบีเค เซ็นเตอร์ ซึ่งพึ่งพาลูกค้าชาวต่างชาติอย่างมาก
บริษัทได้ยกเว้นค่าเช่าให้แก่ผู้เช่าในช่วงที่ต้องปิดศูนย์การค้าตามคำสั่งรัฐบาลและยังให้ความช่วยเหลือแก่ผู้เช่าโดยการให้ส่วนลดค่าเช่าในช่วงที่ยังมีการแพร่ระบาด นอกจากนี้ มาตรการจำกัดการเดินทางและการปิดเมือง (Lockdown) ยังส่งผลให้ผลการดำเนินงานของโรงแรมของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมากอีกด้วย ซึ่งส่งผลให้กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทปรับตัวลง 24% ในปี 2563 และคาดว่าจะลดลงอย่างต่อเนื่องต่อไปอีกที่ระดับ 20% ในปี 2564
ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่ปรับปรุงแล้วจะอ่อนตัวต่อไปโดยจะอยู่ที่ระดับประมาณ 8-9 เท่าในปี 2564 เมื่อเทียบกับระดับ 6.9 เท่าในปี 2563
การฟื้นตัวของผลการดำเนินงานของบริษัทล่าช้ากว่าที่ทริสเรทติ้งได้ประมาณการไว้ในครั้งที่แล้ว อย่างไรก็ตาม ประมาณการล่าสุดของทริสเรทติ้งคาดว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้นในช่วงปี 2565 และปี 2566 โดยภายใต้สมมติฐานพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าการแพร่ระบาดในปัจจุบันจะได้รับการควบคุมจนบรรเทาลงได้เป็นส่วนใหญ่ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2564 และคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจะฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 เมื่อหลาย ๆ ประเทศทั่วโลกได้ทำการฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนส่วนใหญ่แล้ว ดังนั้น ทริสเรทติ้งจึงคาดว่ารายได้ของบริษัทจะเติบโตที่อัตราประมาณ 25% และ 10% ในปี 2565 และในปี 2566 ตามลำดับ
ด้านแหล่งรายได้จากธุรกิจที่ความหลากหลายของบริษัทเป็นปัจจัยที่ช่วยบรรเทาผลกระทบที่เกิดจากโรคโควิด 19 ทั้งนี้ ในช่วงปี 2560-2562 ก่อนที่จะมีการระบาดของโรคโควิด 19 บริษัทมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (ไม่รวมการปรับปรุงค่าเช่าดำเนินงาน) โดยเฉลี่ยที่ระดับ 2.6-2.8 พันล้านบาทต่อปี โดยกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายประมาณ 60% มาจากศูนย์การค้า ประมาณ 10% มาจากธุรกิจโรงแรม และประมาณ 25% มาจากธุรกิจให้บริการทางการเงิน
ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ในปี 2563 กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของศูนย์การค้าลดลง 50% ในขณะที่ของธุรกิจโรงแรมถึงกับติดลบ แต่ในทางตรงกันข้าม กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของธุรกิจให้บริการทางการเงินกลับเพิ่มขึ้น 10% ในปี 2563 และเพิ่มขึ้นถึง 40% ในช่วงเดียวกันของครึ่งแรกของปี 2564 ทั้งนี้ ด้วยความหลากหลายทางธุรกิจและผลการดำเนินงานที่ดีของธุรกิจให้บริการทางการเงินจึงส่งผลให้กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทลดลงเพียง 20% ในปี 2563 และเพียง 17% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564
อย่างไรก็ตามทริสคาดว่าผลการดำเนินงานของธุรกิจศูนย์การค้าจะค่อย ๆ ฟื้นตัวในปี 2565 และปี 2566 จากในช่วงที่มีมาตรการปิดเมืองบริษัทต้องปิดศูนย์การค้าและยกเว้นค่าเช่าให้แก่ผู้เช่า อีกทั้งยังให้ความช่วยเหลือแก่ผู้เช่าโดยยังคงให้ส่วนลดค่าเช่าในช่วงที่ยังมีการแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่อง ศูนย์การค้า เอ็มบีเค เซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นศูนย์การค้าหลักที่สร้างกระแสเงินสดให้แก่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าของบริษัทนั้นได้รับผลกระทบอย่างมากจากการแพร่ระบาดเนื่องจากมีกลุ่มลูกค้าหลักเป็นชาวต่างชาติ
ในขณะที่ศูนย์การค้าอื่น ๆ ที่อยู่รอบนอกรวมทั้งอาคารสำนักงานให้เช่านั้นได้รับผลกระทบน้อยกว่าเนื่องจากกลุ่มลูกค้าหลักเป็นชาวไทย อัตราค่าเช่าโดยเฉลี่ยของบริษัทลดลง 40% ในปี 2563 และคาดว่าน่าจะลดลงต่อไปอีกที่ระดับ 10%-20% ในปี 2564 ทริสเรทติ้งคาดว่าภายในปี 2566 อัตราค่าเช่าของบริษัทจะฟื้นตัวใกล้กับระดับที่ทำได้ในปี 2562 และคาดว่ารายได้จากอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าของบริษัทจะลดลงประมาณ 30% ในปี 2564 แต่น่าจะเติบโตที่ระดับประมาณ 85% ในปี 2565 และที่ระดับ 20% ในปี 2566
บริษัทให้บริการศูนย์การค้าจำนวน 4 แห่งและอาคารสำนักงานจำนวน 3 แห่งในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ นอกจากนี้ บริษัทยังมีสัดส่วนการลงทุนอีก 48% ในหุ้นของ บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าของและเป็นผู้บริหารศูนย์การค้าหลายแห่งในกรุงเทพฯ อีกด้วย โดยในปี 2563 บริษัทมีรายได้จากศูนย์การค้าและอาคารสำนักงานคิดเป็นประมาณ 27% ของรายได้ทั้งหมดและคิดเป็น 47% ของกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายรวม
ด้านธุรกิจโรงแรมได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 แต่จะค่อย ๆ ฟื้นตัวกลับมาในช่วงปี 2565-2566 ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในธุรกิจโรงแรมของบริษัทในปี 2564 อ่อนแอลงมาโดยตลอดหลังจากที่รัฐบาลได้บังคับใช้มาตรการจำกัดการเดินทางและการปิดเมือง บริษัทยังได้ปิดให้บริการโรงแรม 1 แห่งในจังหวัดระนองในปี 2564 อีกด้วย ในการนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าอุปสงค์การท่องเที่ยวภายในประเทศจะค่อย ๆ ฟื้นตัวในช่วงปลายปี 2564 เมื่อการแพร่ระบาดล่าสุดได้รับการควบคุมให้ลดลงและภาครัฐค่อย ๆ ผ่อนคลายมาตรการปิดเมืองภายในประเทศ
นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าภาครัฐจะมีมาตรการต่าง ๆ ออกมาเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศด้วย สำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาตินั้น ทริสเรทติ้งไม่คาดว่าจะฟื้นตัวได้อย่างมีสาระสำคัญจนกว่าจะถึงกลางปี 2565 เมื่อหลาย ๆ ประเทศได้ทำการฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนส่วนใหญ่และมีการยกเลิกมาตรการควบคุมการเดินทางระหว่างประเทศแล้ว
ทั้งนี้ ภายใต้สมมติฐานพื้นฐาน ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากธุรกิจโรงแรมของบริษัทในปี 2564 จะลดลงประมาณ 37% จากระดับในปี 2563 และหลังจากนั้นจะปรับตัวดีขึ้นในปี 2565 โดยจะอยู่ที่ระดับประมาณ 60% เมื่อเทียบกับระดับในปี 2562 และรายได้ในปี 2566 จะอยู่ที่ระดับประมาณ 80% เมื่อเทียบกับระดับในปี 2562
อุปสงค์ที่ลดลงส่งผลให้ยอดขายของโครงการคอนโดมิเนียมแห่งใหม่ชะลอตัว ซึ่งปลายปี 2563 บริษัทก่อสร้างโครงการคอนโดมิเนียมแห่งใหม่ภายใต้ชื่อ Quinn Sukhumvit 101 แล้วเสร็จและพร้อมโอนให้แก่ลูกค้า โดยโครงการตั้งอยู่บนถนนสุขุมวิทซึ่งอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสปุณณวิถี โครงการดังกล่าวเป็นอาคารสูงซึ่งมีห้องชุดจำนวน 347 ห้องและมีมูลค่าประมาณ 2.4 พันล้านบาท ทั้งนี้ ณ เดือนมิ.ย.2564 บริษัทขายโครงการไปได้เพียง 35% ของมูลค่าโครงการทั้งหมดเนื่องจากอุปสงค์ด้านที่อยู่อาศัยที่ลดลง ทริสเรทติ้งเชื่อว่ายอดขายโครงการคอนโดมิเนียมจะยังคงชะลอตัวต่อไปอีกในระยะ 2-3 ปีข้างหน้าตามภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย
โครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยอื่น ๆ ของบริษัทมีทำเลที่ตั้งอยู่ภายในบริเวณหรือใกล้กับสนามกอล์ฟของบริษัท นอกจากนี้ บริษัทยังมีโครงการที่พักอาศัยที่ตั้งอยู่ใกล้กับศูนย์การค้า The Nine ซึ่งก่อสร้างแล้วเสร็จและพร้อมโอนให้แก่ลูกค้าในช่วงปลายปี 2563 อีกทั้งยังมีโครงการที่อยู่อาศัยในจังหวัดชลบุรีซึ่งมีกลุ่มผู้มีรายได้ระดับปานกลางถึงต่ำเป็นลูกค้าเป้าหมายอีกด้วย โดย ณ เดือนมิ.ย.2564 บริษัทมีมูลค่าคงเหลือของโครงการเหล่านี้อยู่ที่ประมาณ 3 พันล้านบาท ทริสเรทติ้งประมาณการว่าบริษัทจะสามารถรับรู้รายได้จากโครงการที่อยู่อาศัยเหล่านี้ที่ประมาณ 600-700 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2564-2566
ด้านธุรกิจให้บริการทางการเงินยังคงสร้างกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอ กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายให้แก่บริษัทจำนวน 600-800 ล้านบาทต่อปีในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดย ณ เดือนมิ.ย.2564 ยอดสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์คงค้างของบริษัทอยู่ที่จำนวน 7.4 พันล้านบาทและยอดสินเชื่อคงค้างของสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์อยู่ที่จำนวน 9 พันล้านบาท
อย่างไรก็ตามแม้ว่าการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 จะส่งผลกระทบที่ร้ายแรงต่อภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศ แต่บริษัทก็ยังคงสามารถบริหารสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์จากการที่บริษัทใช้มาตรการอนุมัติสินเชื่อที่รอบคอบและจัดเก็บหนี้ที่รัดกุมมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ณ เดือนมิ.ย.2564 อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อเงินให้สินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์รวมของบริษัทปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 3.2% เมื่อเทียบกับระดับ 5.4% ในปี 2563 ส่วนอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อเงินให้สินเชื่ออสังหาริมทรัพย์รวมของบริษัทนั้นยังคงอยู่ที่ระดับ 12% ในช่วงปี 2563 จนถึงช่วงครึ่งแรกของปี 2564
ทริสเรทติ้งคาดว่ามูลค่าพอร์ตสินเชื่อของบริษัทจะคงที่ในปี 2564 และหลังจากนั้นจะขยายตัวที่ระดับ 5% ต่อปีในระหว่างปี 2565-2566 ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากธุรกิจให้บริการทางการเงินของบริษัทจะอยู่ที่ระดับประมาณ 2.4 พันล้านบาทในปี 2564 และจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเป็น 2.7 พันล้านบาทในปี 2566
ด้านสถานะสภาพคล่องของบริษัทยังคงอยู่ในระดับที่น่าพอใจมาก โดย ณ เดือนมิ.ย.2564 บริษัทมีแหล่งเงินทุนซึ่งประกอบด้วยเงินสดจำนวน 2.6 พันล้านบาทและวงเงินกู้ยืมที่ยังไม่ได้เบิกใช้จากสถาบันการเงินอีก 4.6 พันล้านบาท ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานจำนวน 2 พันล้านบาทในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ในการนี้ บริษัทมีภาระในการชำระหนี้เงินต้นจำนวน 913 ล้านบาทและหนี้ระยะสั้นคงค้างอีกจำนวน 1 พันล้านบาทในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ในขณะที่บริษัทมีงบลงทุนในปี 2564 จำนวนประมาณ 1 พันล้านบาท ทั้งนี้ ณ เดือนมิ.ย.2564 บริษัทมีเงินลงทุนในบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มูลค่า 4.7 พันล้านบาทซึ่งช่วยให้บริษัทมีความยืดหยุ่นทางการเงินอยู่ในระดับสูง
ทั้งนี้ ตามเงื่อนไขของหุ้นกู้กำหนดให้บริษัทจะต้องดำรงอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายให้สูงกว่า 4 เท่าและอัตราส่วนหนี้ที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นให้ต่ำกว่า 2 เท่า โดย ณ สิ้นเดือนมิ.ย.2564 บริษัทมีอัตราส่วนหนี้ที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ระดับ 0.87 เท่าและมีอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายอยู่ที่ระดับ 4.27 เท่าซึ่งสอดคล้องกับเงื่อนไขของหุ้นกู้
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากผลกระทบของโรคโควิด 19 ที่มีต่อผลการดำเนินงานทางการเงินของบริษัท บริษัทอาจจะไม่สามารถดำรงอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายให้เป็นไปตามเงื่อนไขของหุ้นกู้ในปี 2564 ได้ อย่างไรก็ตาม บริษัทมีแผนจะขอผ่อนปรนในการดำรงอัตราส่วนทางการเงินดังกล่าวกับผู้ถือหุ้นกู้ในปี 2564
ณ เดือนมิ.ย.2564 บริษัทมีหนี้สินรวมอยู่ที่จำนวน 1.85 หมื่นล้านบาท โดยในจำนวนดังกล่าวเป็นหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนจำนวน 2.7 พันล้านบาทซึ่งเป็นหนี้ไม่มีประกันของบริษัทย่อย ดังนั้น อัตราส่วนหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อหนี้สินรวมของบริษัทจึงอยู่ที่ระดับ 15% และเนื่องจากอัตราส่วนดังกล่าวอยู่ในระดับไม่เกิน 50% อันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิไม่มีหลักประกันของบริษัทจึงอยู่ในระดับเท่ากับอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทตาม เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้ ของทริสเรทติ้ง
แนวโน้มอันดับเครดิต Stable หรือ คงที่ สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งต่อธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวของบริษัทจะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้นตามการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว การที่บริษัทมีแหล่งรายได้จากธุรกิจที่หลากหลายและมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งนั้นยังช่วยสนับสนุนอันดับเครดิตของบริษัทอีกด้วย ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากธุรกิจให้บริการทางการเงินและเงินลงทุนจะช่วยลดผลกระทบจากรายได้จากธุรกิจศูนย์การค้าและธุรกิจโรงแรมของบริษัทที่ลดลงได้