ฟินันเซียไซรัสยืนเป้า BEAUTY 7 บาท

หุ้นบิวตี้ฯวิ่งแรง 5 วันติด แจกกำไรเกือบ 39% จ่อแตะ 10 บาท ยังต่ำกว่าราคาเป้าหมายเฉลี่ย 11.39 บาทของ 8 นักวิเคราะห์ ธนชาตให้สูงสุด 15 บาท ฟินันเซียไซรัสยืนยัน”ขาย” ตีมูลค่าเหมาะสมต่ำสุด 7 บาท

หุ้นบริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ (BEAUTY)ยังคงร้อนแรงต่อเนื่องจากสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่งผลให้ราคาหุ้นพุ่งแรง 5 วันติดต่อกัน (14-17 และ 20 ส.ค.2561)รวมทั้งสิ้น 38.97% จากระดับ 6.80 บาท กระโดดขึ้นมาปิดที่ 9.45 บาท โดยนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ 8 แห่ง ให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ย 11.39 บาท ส่วนใหญ่ยังคงแนะนำให้ซื้อ บล.ธนชาตให้ราคาสูงสุด 15 บาท และบล.ฟินันเซีย ไซรัสแนะนำให้ขาย ราคาเพียง 7 บาท


น.ส.จิตรา อมรธรรม รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส (FSS)เปิดเผยว่า ฟินันเซียไซรัสยังคงให้ราคาเป้าหมายหุ้นบิวตี้ฯที่ 7 บาท ที่สัดส่วนราคาต่อกำไรไต่อหุ้น(พี/อี) 18 เท่า หลังจากได้ฟังข้อมูลจากผู้บริหารบริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้แล้ว บริษัทไม่มีการปรับประมาณการใหม่ และเมื่อพิจารณากำไรของหุ้นบิวตี้ฯในอนาคต คงไม่สามารถซื้อขายที่พี/อีสูงถึง 30 เท่า หรือที่ราคาเหมาะสม 20.50 บาท เท่ากับที่ฟินันเซีย ไซรัสคาดการณ์ไว้เมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2561 เนื่องจากบริษัทฯมีโอกาสสูญเสียตลาดใหญ่ตลาดสำคัญในประเทศจีนแล้ว

ปัจจุบันบริษัทบิวตี้ฯกำลังมองหาโอกาสจากตลาดใหม่ เช่น กลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) คาดว่าจะไม่ทำให้กำไรของบริษัทเติบโตก้าวกระโดดเหมือนที่ผ่านมาได้ เพราะ CLMV เป็นตลาดระดับล่าง ขายสินค้าที่มีอัตรากำไรไม่มากนัก

“หุ้น BEAUTY ที่ขึ้นมารอบนี้ เรามองว่าเป็นเพียงการรีบาวด์เท่านั้น แนวโน้มกำไรในไตรมาส 3 และ 4 มีลักษณะคล้ายในไตรมาส 2 คือ ไม่โตมากเหมือนในอดีต เมื่อตลาดจีนสะดุด ซึ่งต้องยอมรับว่าสินค้าเครื่องสำอางค์และบำรุงผิว เป็นสินค้าแฟชั่น ลูกค้ามองหาสินค้าแห่งอื่นทดแทนได้ คงไม่รอบิวตี้ฯ ตลาดจีนมีการแข่งขันสูงมาก ทำสำเร็จยาก จะต้องหาพันธมิตรหรือร่วมทุนกับคนในท้องถิ่น “นางจิตรากล่าว

ส่วนบทวิเคราะห์หุ้นบิวตี้ บล.หลายแห่งมีการปรับประมาณการ หลังจากพบผู้บริหาร ได้รับข้อมูลการปรับตัวของบริษัทในอนาคต รวมถึงบริษัทประกาศผลกำไรสุทธิ 256 ล้านบาท ไตรมาส 2/2561 ลดลง 6.16% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 273 ล้านบาท ไม่มากอย่างที่ตลาดกังวล และบริษัทฯยังคงรักษาอัตรากำไรสุทธิใกล้เคียง 30% และอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่า 60%

ทางด้านหุ้นที่บริษัทฯซื้อคืน ตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค.-3ส.ค. รวม 12,675,000 หุ้น หรือ 0.42% เป็นเงินทั้งสิ้น 99 ล้านบาท คาดราคาเฉลี่ยประมาณ 7.81 บาทต่อหุ้น ต่ำกว่าวงเงินที่บอร์ดอนุมัติให้ใช้จำนวน 950 ล้านบาท ในการซื้อหุ้นคืนจำนวน 64 ล้านหุ้นหรือ 2.13% คิดเป็นราคาเฉลี่ย 14.84 บาท