HoonSmart.com>> “บล.ทิสโก้” ประเมินหุ้นไทยขึ้นได้อีกไม่มาก เหตุเศรษฐกิจ กำไรบริษัทจดทะเบียนฟื้นช้า คาดไตรมาส 4 กรอบดัชนี 1,595-1,643 จุด ส่วนแนวโน้มเดือนก.ย. แนวรับสำคัญ 1,600 – 1,610 จุด แนวต้าน 1,640 จุด แนะซื้อกลุ่มหุ้นเกี่ยวข้องกับทยอยเปิดเมืองและได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ คัดหุ้นเด่น “AEONTS- COM7-CPF-CRC-HANA-SCB-SPA-STEC”
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า แม้ความหวังสถานการณ์ระบาดและแผนการจัดหาวัคซีนดีขึ้น จะช่วยหนุนตลาดหุ้นไทยรอบนี้ดีดกลับขึ้นมาทะลุระดับ 1,600 จุด ได้อีกครั้งจากกระแสเงินทุนไหลกลับ แต่บล.ทิสโก้มองว่า ดัชนีหุ้นไทยอาจไปได้ไม่ไกลหรือขาดความมั่นคง เพราะ 2 ปัจจัยพื้นฐานสำคัญที่มักกำหนดแนวโน้ม SET Index คือ ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจ (Economic Growth) และผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนไทย (Earnings) ยังคงฟื้นตัวได้ช้า อิงจากสองแบบจำลองของบล.ทิสโก้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่าง GDP และผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนต่อ SET Index โดย บล.ทิสโก้ประเมินระดับ SET Index ที่เหมาะสมสำหรับไตรมาส 4/ 2564 อยู่ที่ 1,595 – 1,643 จุด ทำให้ Upside ตลาดในปีนี้ยังค่อนข้างจำกัด
ปัจจุบันสถานการณ์ระบาดในประเทศเริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้นในช่วงปลายเดือนส.ค. ทั้งยอดผู้ติดเชื้อใหม่และยอดผู้เสียชีวิตรายวันที่ค่อยๆ ปรับตัวลดลง ขณะเดียวกัน ผู้ป่วยรักษาหายกลับบ้านมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ทำให้ปัญหาภาวะเตียงตึงตัวก็เริ่มคลี่คลายลงเช่นกัน ส่งผลให้รัฐเริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ระยะแรกในวันที่ 1 ก.ย.นี้ และบล.ทิสโก้คาดว่าจะมีการทยอยปลดล็อกดาวน์เพิ่มขึ้นเป็นระยะๆ ตลอดช่วง 1-2 เดือนนี้
นอกจากนี้อัตราการฉีดวัคซีนในเดือนส.ค. เร่งตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เฉลี่ยวันละ 4.52 แสนโดสเพิ่มขึ้นก้าวกระโดดจากเดือนก่อนหน้าที่เฉลี่ยอยู่ที่ 2.50 แสนโดส พร้อมกับแผนการจัดหาวัคซีนมีความคืบหน้า โดยล่าสุด AstraZeneca ยืนยันจะเร่งส่งมอบวัคซีนให้ครบ 61 ล้านโดสในสิ้นปีนี้ ส่งผลให้ยอดการจัดหาวัคซีนทุกประเภทในสิ้นปีนี้รวมกันเกินกว่า 120 ล้านโดส ครอบคลุมประชากรกว่า 60 ล้านคนแล้ว หากสามารถดำเนินการได้ตามแผน คาดไทยจะสามารถสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ได้ภายในสิ้นปีนี้ หนุนแนวโน้มการเปิดประเทศตั้งแต่ต้นปีหน้าเป็นต้นไป
“แม้ความหวังสถานการณ์ระบาดและแผนการจัดหาวัคซีนที่ดีขึ้นจะช่วยหนุนตลาดหุ้นไทยรอบนี้สามารถปรับตัวขึ้นทะลุระดับ 1,600 จุด จากกระแสเงินทุนไหลกลับ แต่ บล.ทิสโก้มองว่า SET Index อาจไปได้ไม่ไกลหรือขาดความมั่นคง เพราะ 2 ปัจจัยพื้นฐานสำคัญที่มักกำหนดแนวโน้ม SET Index คือ ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจ และผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนไทย ยังคงฟื้นตัวได้ช้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในไตรมาส 3/2564 ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการระบาด ขณะที่ไตรมาส 4/2564 จะขึ้นอยู่กับการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐเป็นหลัก โดย บล.ทิสโก้คาดการณ์ว่า GDP ปีนี้จะเติบโตเพียง 0.6% ประมาณการกำไรของตลาดโดยรวม (SET EPS) ปีนี้ที่อยู่ที่ 84.7 บาท ต่อหุ้น และปีหน้าที่ 95.5 บาทต่อหุ้น จึงทำให้ประเมินว่า SET Index ที่เหมาะสมสำหรับไตรมาส 4/ 2564 อยู่ที่ 1,595-1,643 จุด” นายอภิชาติ กล่าว
สำหรับการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ในเดือนนี้ บล.ทิสโก้ คาดว่า FED จะส่งสัญญาณลดวงเงินการซื้อสินทรัพย์ลง (QE Tapering) จากปัจจุบันที่อยู่ที่เดือนละ 1.2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ก่อนที่จะประกาศอย่างเป็นทางการในการประชุมเดือนพ.ย.และเริ่มต้นลดจริงในเดือนธ.ค. ซึ่งเร็วขึ้นกว่าเดิม ที่คาดว่าจะเริ่มต้นในเดือนมกราคมปีหน้า
อย่างไรก็ดี บล.ทิสโก้ไม่คิดว่าการทำ QE Tapering ของ FED ในครั้งนี้จะกดดันตลาดหุ้นอย่างมีนัยสำคัญเหมือนปี 2556 เนื่องจาก 1.FED มีการสื่อสารกับตลาดมาโดยตลอดในช่วง 2 – 3 เดือนที่ผ่านมา ว่าจะเริ่มมีการทำ QE Tapering เพียงแต่ยังไม่ชี้ชัดว่าจะเริ่มกระบวนการดังกล่าวเมื่อใด ซึ่งแตกต่างจากปี 2556 (“Taper Tantrum 2013”) ที่ไม่มีการส่งสัญญาณล่วงหน้ามาก่อน 2.แรงกดดันจากเงินทุนต่างประเทศไหลออกไม่น่าจะมากเหมือนปี 2556 เพราะปีนี้เม็ดเงินต่างชาติเป็นไหลออกอยู่แล้วกว่า 8.7 หมื่นล้านบาท ต่อเนื่องจากปีที่แล้วที่ไหลออก 2.6 แสนล้านบาท 3.หุ้นไทยยังปรับตัวขึ้นน้อยมากเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นโลก (Underperform) โดยนับตั้งแต่ต้นปี 2563 ที่เริ่มเกิดวิกฤต COVID-19 SET Index ปรับตัวขึ้นเพียง 3% เทียบกับ MSCI World Index, MSCI EM Index และ MSCI Asia ex. Japan Index ที่ปรับตัวขึ้น 30%, 14% และ 18% ตามลำดับ เพราะฉะนั้นจึงไม่น่าเผชิญความผันผวนมากนัก
นายอภิชาติ กล่าวอีกว่า สำหรับกลยุทธ์การลงทุนสำหรับเดือนนี้ แนะนำให้นักลงทุนเน้นหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการทยอยเปิดเมือง (Re-opening) และคาดว่าจะได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมจากภาครัฐทั้งด้านการบริโภคและการลงทุนในช่วงที่เหลือของปีนี้ กลุ่มการเงิน แนะนำ AEONTS และ SCB กลุ่มพาณิชย์ – ค้าปลีก แนะนำ COM7 และ CRC กลุ่มอื่นๆ แนะนำ STEC และ SPA
นอกจากนี้ยังแนะนำหุ้นส่งออกใน SET100 ที่มีปัจจัยหนุนเฉพาะ คือ CPF และ HANA เพราะฉะนั้น หุ้นเด่นที่แนะนำในเดือน ก.ย. คือ AEONTS, COM7, CPF, CRC, HANA, SCB, SPA และ STEC ด้านแนวรับสำคัญของเดือนนี้อยู่ที่ 1,600 – 1,610 จุด และแนวรับต่อไปที่ 1,585 จุด แนวต้านสำคัญเดือนนี้อยู่ที่ 1,640 จุด แนวต้านถัดไปที่ 1,670, 1,690 – 1,700 จุด ตามลำดับ
ติดตามข่าว หุ้นเด่นระหว่างวัน ผ่านช่องทาง Line OpenChat : https://line.me/ti/g2/wEbsUcMaP2oP45XhK3vYhQ