IRPC เก่ง เพิ่มเป้ากำไรปีนี้ทะลุ 1 หมื่นลบ. ชวนซื้อ TOP ดี-ถูก

HoonSmart.com>>7 บริษัทในครอบครัว ปตท. เปิดผลงานสุดหรูในไตรมาสที่ 2/2564 มีกำไรสุทธิรวมทั้งสิ้น 68,976.87 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 46,444.46 ล้านบาท คิดเป็น 206.12% เทียบกับที่มีกำไร 22,532.41 ล้านบาท ในช่วงเดียวกันปีก่อน เพราะมีกำไรจากสต๊อกน้ำมันสูงมาก และรายการพิเศษ ขณะเดียวกันบริษัทไออาร์พีซี (IRPC) พลิกมีกำไรสุทธิ 4,574.16 ล้านบาท  และยังทำกำไรปกติได้สูงกว่าที่คาดการณ์ ทำให้นักวิเคราะห์แห่ปรับเป้ากำไรสุทธิปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 1-1.3 หมื่นล้านบาท ส่วนบริษัทไทยออยล์ (TOP) แม้เป็นเพียงบริษัทเดียวในกลุ่มที่มีกำไรสุทธิ- 14.42% เหลือจำนวน 2,122.68 ล้านบาท แต่ก็ดีเกินคาดเช่นเดียวกัน

ในไตรมาส 2/2564 บริษัทพีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) เป็นพระเอกในกลุ่ม มีกำไรสุทธิสูงที่สุด 25,034.73 ล้านบาท พุ่งขึ้นถึง 1,398.42% เพราะนอกจากมีกำไรจากสต๊อกน้ำมันแล้ว ยังมีกำไรพิเศษจากการขายหุ้นบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) ด้วย แซงหน้าบริษัทปตท. (PTT) ที่มีกำไรสุทธิ 24,578.66 ล้านบาท เติบโต 103.92% ตามด้วยบริษัทปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลีย (PTTEP) มีกำไรสุทธิ 7,139.60 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 65.16%

“ชวลิต ทิพพาวนิช” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทไออาร์พีซี (IRPC) เปิดเผยว่า ในไตรมาส 2/64 บริษัทฯ มีกำไรต่อเนื่องจากไตรมาสแรก โดยมีรายได้จากการขายสุทธิ 56,858 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% มาจากราคาขายเพิ่มขึ้น 16% ตามราคาน้ำมันดิบและปริมาณขายเพิ่มขึ้น 2%  มีกำไรขั้นต้นจากการผลิตตามราคาตลาด (Market GIM) อยู่ที่ 8,727 ล้านบาท หรือ 15.68 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 25% สาเหตุหลักจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ทั้งปิโตรเลียมและปิโตรเคมีส่วนใหญ่สูงขึ้น และมีกำไรขั้นต้นจากการผลิตทางบัญชี (Accounting GIM) จำนวน 12,234 ล้านบาทหรือ 21.98 เหรียญสหรัฐฯ  เพิ่มขึ้น 2%

IRPC มุ่งปรับตัวให้ทันเมกะเทรนด์ของโลก โดยการนำเทคโนโลยีดิจิทัล Robotic Process Automation (RPA) มาใช้งาน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนกลยุทธ์ IRPC 4.0 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ความแม่นยำ และความรวดเร็ว ให้กับกระบวนการทำงานด้านการเงิน อีกทั้งยังช่วยเพิ่มผลิตภาพในการทำงานให้กับพนักงาน นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรด้วยดิจิทัลไปสู่องค์กรแห่งนวัตกรรมได้อย่างเต็มรูปแบบ

ส่วนโครงการผลิตเม็ดพลาสติก PP เกรดพิเศษสำหรับ ผ้า Meltblown ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักสำคัญสำหรับผ้าชั้นกรองหน้ากากอนามัย หน้ากาก N95 ชุดกาวน์ และแผ่นกรองอากาศ จะเริ่มผลิตเพื่อการจำหน่ายในเดือนส.ค.นี้ ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจใหม่ที่ IRPC ให้ความสำคัญ เพื่อเพิ่มสัดส่วนการผลิตเม็ดพลาสติกชนิดพิเศษไปสู่กลุ่ม Smart Material ที่ตอบสนองผู้บริโภคตามวิถี New Normal มากยิ่งขึ้น

ในไตรมาสที่ 2/2564 ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยอยู่ที่ 66.9 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลเพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรกที่ระดับ 60.0 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล และจากไตรมาส ที่ 2/2563 ระดับ 30.6 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล “ชวลิต”คาดแนวโน้มไตรมาส 3 ราคาน้ำมันจะยังคงปรับตัวสูงขึ้นจากไตรมาส 2 มาจากความต้องการใช้น้ำมันที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ในสหรัฐฯ มีทิศทางที่ดีขึ้น แม้ว่ากลุ่มโอเปกและพันธมิตรจะปรับเพิ่มกำลังการผลิตรวมที่ 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในช่วงเดือนส.ค.-ธ.ค.64 แต่ส่วนเพิ่มดังกล่าวมีแนวโน้มไม่เพียงพอกับความต้องการที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามตลาดยังคงจับตามองการแพร่ระบาดของโควิด สายพันธุ์เดลต้า อาจส่งผล กระทบต่อความต้องการใช้น้ำมันในบางประเทศ

แนวโน้มภาวะตลาดปิโตรเคมีในไตรมาส 3 คาดว่าความต้องการผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมปิโตรเคมีทั่วโลกจะยังคงได้รับผลกระทบจากโควิด อีกทั้งยังมีกำลังการผลิตเกิดขึ้นใหม่จำนวนมาก ทั้งตามแผนที่วางไว้และแผนที่เลื่อนมาจากปีที่แล้ว เช่น โรงงานปิโตรเคมีในมาเลเซียที่เลื่อนแผนการผลิตจากต้นปีมาเป็นครึ่งปีหลัง หรือ กำลังการผลิตใหม่จากประเทศจีนที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจำนวนมาก ทำให้อุปทานในไตรมาสนี้เพิ่มสูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม ความต้องการสินค้าอุตสาหกรรมกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า การแพทย์และสุขภาพอนามัย รวมทั้งยานยนต์จะยังคงอยู่ในระดับสูง ตามพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งเป็นผลดีต่อความต้องการผลิตภัณฑ์กลุ่มโอเลฟินส์ และกลุ่มสไตรีนิกส์

ด้านบล.หยวนต้า (ประเทศไทย) วิเคราะห์ IRPC มีกำไรปกติดีขึ้นตามคาด 2.5 พันล้านบาท เติบโตถึง 183% จากไตรมาสแรกและพลิกจากขาดทุนจากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นเติบโตโดดเด่น, ธุรกิจปิโตรเคมีแข็งแกร่งต่อเนื่อง, ธุรกิจโรงกลั่นไม่ลดลงเหมือนคู่แข่งเพราะประโยชน์จาก Lag time จากสายการผลิตที่ยาวกว่า จึงปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2564 ขึ้น 35% เป็น 1 หมื่นล้านบาท สะท้อนผลงานครึ่งปีแรกที่แข็งแกร่งกว่าคาดคาดการณ์

อย่างไรก็ตาม แนวโน้มกำไรครึ่งปีหลังถึงไตรมาสแรกปี 2565 จะไม่โดดเด่นกดดันจากอุปทานใหม่, โควิด, แผนปิดซ่อมบำรุงและหุ้นไม่มีเงินปันผลงวดกลางปี รวมถึง ความผันผวนจากกำไร/ขาดทุนสต๊อกน้ำมัน คงคำแนะนำ ซื้อเก็งกำไร ราคาเหมาะสม 4.20 บาท ลดลงจาก 4.40 บาท เพราะมองว่าโมเมนตัมกำไรผ่านพีคในครึ่งปีแรกไปแล้ว

บล.ทรีนีตี้ปรับคำแนะนำเป็น”ซื้อ” หุ้น IRPC และปรับราคาเป้าหมายเป็น 4.20 บาท หลังปรับกำไรปกติขึ้นเป็น 6 พันล้านบาทจากเดิม 2.3 พันล้านบาท รวมกำไรจากสต๊อก 3.5 พันล้านบาท ทำให้มีกำไรสุทธิขึ้นเป็น 1.3 หมื่นล้านบาท คาดกำไรครึ่งปีหลังดีกว่าครึ่งปีแรกที่ทำได้ 2.5 พันล้านบาท คิดเป็น 40% ของประมาณการกำไรปกติของเรา

“ไตรมาสที่ 2 หากไม่นับรวมกำไรพิเศษ กำไรปกติปรับตัวดีขึ้นมาเป็น 2 พันล้านบาท จากไตรมาสแรกที่ราว 400 ล้านบาท มาจากปริมาณการเข้ากลั่นที่เพิ่มขึ้น และธุรกิจปิโตรเคมีที่ยังดีต่อเนื่อง และ Lube Base”

บล.กรุงศรีแนะนำถือหุ้น IRPC ราคาเป้าหมาย 3.90 บาท หลังจากกำไรไตรมาส 2 ดีกว่าคาดการณ์ของเราและตลาด 85 และ 4% ตามลำดับ

ส่วน TOP บล.เคทีบีเอสที แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 72 บาท หลังรายงานกำไรไตรมาสที่ 2 ที่  2.1 พันล้านบาท สูงกว่าตลาด และเราคาด 3% และ 8% ตามลำดับ
กำไรที่อ่อนตัวลงจากไตรมาส 2/2563 หลักๆจากการขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนและผลขาดทุนจากการวัดมูลค่ายุติธรรมเครื่องมือทางการเงิน ขณะที่ลดลงจากไตรมาสแรก มาจากปริมาณวัตถุดิบที่ป้อนเข้าสู่กระบวนการผลิตของกลุ่ม และกำไรจากสต๊อกน้ำมันที่ลดลง

บล.เคทีบีเอสที คงประมาณการกำไรสุทธิในปีนี้ 7.3 พันล้านบาท พลิกจากขาดทุนสุทธิ 2.5 พันล้านบาทในปี 2563 มาจากกำไรสต๊อก 6.2 พันล้านบาท และคาดว่าในปี 2565 กำไรจะโตขึ้นต่อเนื่องเป็น 9.8 พันล้านบาท กำไรจากสต๊อก 1.1 พันล้านบาท โดยเชื่อว่า market GRM จะสูงขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ราคาหุ้นปรับตัวลง 23% และต่ำกว่าตลาด SET 25% ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา สะท้อนถึงความกังวลต่อประเด็นเพิ่มทุนจากการเข้าไปลงทุนในธุรกิจโอเลฟินส์และพรีเมียมน้ำมันที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“เรามองว่าราคาหุ้นในปัจจุบันยังน่าสนใจ และอยู่ในช่วงการฟื้นตัวของกำไร จากธุรกิจโรงกลั่นจะฟื้นตัวตามอุปสงค์ของผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ซึ่งจะปรับตัวดีขึ้นในอีก 2 ปีข้างหน้าตามอุปสงค์การใช้ผลิตภัณฑ์น้ำมันที่ดีขึ้นหลังจากมีการใช้วัคซีนโควิด-19 ทั่วโลก ในขณะที่คาดว่าโครงการ Clean Fuel Project (CFP) จะเป็นปัจจัยการเติบโตในระยะยาว หลังจาก COD ในปี 2566 แต่การฟื้นตัวในระยะสั้นอาจจะได้ผลกระทบเชิงลบจาก crude premium ที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องได้” บล.เคทีบีเอสทีระบุ