กูรูเตือนไม่ต้องรีบซื้อหุ้น รอจังหวะตลาดกระแทก

HoonSmart.com>>ปัจจัยลบท่วมตลาด ไม่หวังเงินต่างประเทศไหลเข้า เตือนไม่ต้องรีบซื้อลงทุน บล.หยวนต้าแจกคาถา คัดเลือกหุ้นเน้นกำไรโตระยะยาว ระวังผลกระทบจากตลาดเมืองนอกพักตัว บล.เมย์แบงก์ฯ เชียร์หาโอกาสจากวิกฤตตลาดกระแทก จุดสะสม 1,460 จุด จากความหวังปีหน้าสดใส หากมีเซอร์ไพรส์ถึง 1,700 จุด แนะ TU-GFPT-EPG บล.โนมูระฯ ให้เลี่ยงแบงก์-พลังงาน กนง. เดือนก.ย.มีโอกาสลดดอกเบี้ย ราคาน้ำมันดิบลดลง เชียร์ 9 หุ้นใหญ่ 3 หุ้นกลาง-เล็ก วันที่ 9 ส.ค. ดัชนีพุ่งฉิ่วเกือบ 20 จุด ไล่ซื้อหุ้นคืน เก็งเปิดเมืองหลังตัวเลขโควิดดีขึ้น สถาบันไทยช้อน 2,381 ล้านบาท

สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน จัดสัมมนาเรื่อง “โควิดบานปลาย เศรษฐกิจโลกเปลี่ยน จะปรับพอร์ตอย่างไร” โดยนายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการอาวุโส และนักวิเคราะห์กลยุทธ์อาวุโส บล.หยวนต้า(ประเทศไทย) กล่าวว่า หุ้นในเดือนส.ค. ให้แนวรับที่ 1,480 จุด รอซื้อหลังงบไตรมาส 2/2564 ออกมา คาดมีการขายทำกำไร สถานการณ์โควิดและล็อกดาวน์ยังมีโมเมนตัมให้บจ.ได้รับผลกระทบในไตรมาสที่ 3

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงต่างประเทศ เช่น ตลาดหุ้นจีนผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว รวมถึงตลาดสหรัฐและยุโรป หากพักตัวลงมา ย่อมส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

” นักลงทุนอย่าเพิ่งลุยซื้อ ช่วงนี้เหมาะกับการเทรดดิ้งเท่านั้น หากจะเก็บเพื่อถือ ให้รอก่อน แม้ว่าสถานการณ์โควิดคลายตัว แต่ยังมีปัจจัยลบรออยู่ กลยุทธ์ นักลงทุนจะต้องคัดเลือกมากขึ้น เน้นหุ้นที่ราคาต่ำกว่าครึ่งปีแรก และมีคุณสมบัติทนทานต่อปัจจัยเสี่ยง จะชนะตลาดได้ในครึ่งปีหลัง เช่น โรงไฟฟ้า สื่อสาร โรงพยาบาล แม้ว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ (บอนด์ยีลด์) 10 ป ลดลง แต่ตัวสั้นเด้งขึ้น น่าจะเป็นประโยชน์ต่อไฟฟ้า สื่อสาร ที่ราคาอยู่ข้างล่าง ชอบกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง วัสดุก่อสร้าง เหล็กยังเทรดดิ้งได้ครึ่งปีหลัง”

ส่วนเงินทุนไหลเข้า นายณัฐพลกล่าวว่า ปีนี้หวังยากที่จะเข้ามา เพราะการท่องเที่ยวจะต้องรออีกนาน  และเศรษฐกิจที่มีโอกาสติดลบ แม้ว่าจะเล็กน้อย แต่การหดตัว 2 ปี น่าจะเป็นประเทศเดียว ทำให้ต่างชาติมองหุ้นไทยไม่ดี เมื่อการเติบโตไม่ดี และมูลค่าไม่ถูก หุ้นซื้อขายที่พี/อี 16-17 เท่า บางช่วงเกือบ 18 เท่า คาดหวังครึ่งปีหลังเงินทุนไหลออกน้อยกว่าครึ่งปีแรกที่ 1 แสนล้านบาท ที่ผ่านมาต่างชาติขายออกรวม 5 ปีติดต่อกัน มากกว่าสถิติในอดีตที่ขายออก 4 ปี มักจะกลับมาซื้อ 1 ปี ตอนนี้ต้องพึ่งเม็ดเงินในประเทศเป็นหลัก

สำหรับหุ้นที่แนะนำ ธีม Defensive เลือก ADVANC, BPCG, BGRIM, BDMS   ส่วนหุ้นได้ดีจากค่าเงินบาทอ่อน คือ STA, NER, NYT, GFPT, FORTH และราคาปรับตัวขึ้นช้า KBANK, CPALL, SCC

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัย บล. เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ทุกวิกฤต ต้องหาโอกาส ช่วงสั้นยังลงได้ต่อ โควิดยังหาจุดสูงสุดไม่ได้ การล็อกดาวน์กระทบต่อบจ.ในไตรมาส 3

” ยังมีช็อตที่ตลาดจะกระแทกลง แต่หุ้นแต่ละตัวมีมูลค่าของตัวเอง ทุกครั้งที่มีแรงกระแทก ก็จะมีแรงรับ รอบนี้คงไม่ดิ่งลงแรงเหมือนโควิดรอบแรก ที่ดัชนีลงไปลึกถึง 900 จุด ก็มีการไล่ขึ้นมา ยังมองโอกาสกระแทก หาจังหวะค่อยๆ ซื้อ หวังว่าปีหน้ายังดีกว่าปีนี้ที่ฐานต่ำ จากปัจจัยพื้นฐาน มองไว้ที่ 1,460 จุด ค่อยๆแบ่งไม้ตั้งรับ จะได้ต้นทุนที่ต่ำ คาดแถว 1,500 ลงไป ก็มีโอกาสเด้งได้บ้าง แต่ก็กลัวแพนิคเซล ช่วงสั้นมีโอกาสเหวี่ยงขึ้น 1,580  จุด หากมีเซอร์ไพรส์ถึง 1,700 จุดได้ปีหน้า”นายวิจิตรกล่าว

แนวโน้มตลาดยังได้รับผลกระทบจากการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) และไทย ตลาดจับตาการประชุมเฟด วันที่ 26-28 ส.ค.นี้ ประธานเฟดจะแถลงอะไรออกมา เช่น การลดนโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) หากปรับลดคิวอี อาจมีผลต่อการลงทุนระยะสั้น แต่มองย่อเป็นโอกาสทยอยสะสม การระบาดของสายพันธ์เดลต้าเป็นตัวแปรสำคัญชี้นำนโยบาย คาดว่าคิวอีรอบนี้สร้างแรงกดดันตลาดไทยไม่มาก เนื่องจากเงินไหลออกรวม 7 แสนล้านบาท มา 5-6 ปี ต่างชาติถือหุ้นค่อนข้างต่ำ หุ้นพร้อมจะดีดกลับหากโควิดแผ่วลง

กลุ่มหุ้นที่น่าสนใจ กำไรแข็งแกร่ง มีโมเมนตัมต่อเนื่อง มาร์จิ้นดี ในกลุ่มอาหาร ได้ดีจากค่าเงินบาทอ่อน แนะ TU เป้าหมาย 24 บาท กำไรไตรมาสที่ 2 สูงกว่าที่คาดการณ์ ธุรกิจเกษตร GFPT เป้าหมาย 14.60 บาท กำไรได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และเมื่อปี 2562 เกิดไฟไหม้ บริษัทได้พลิกวิกฤตเป็นโอกาส เพิ่มไลน์การผลิต
เป็น 5 ไลน์ คาดปีหน้าขยายตัว 57% และกลุ่มอุตสาหกรรม แนะ EPG เป้าหมาย 13.50 บาท ส่วนกลุ่มบรรจุภัณฑ์  เช่น SCGP ก็น่าสนใจ แต่รอให้ราคาย่อก่อน ส่วนคนที่มีหุ้นอยู่ให้ถือต่อไป สำหรับหุ้นชุดที่ได้รับผลกระทบจากโควิดค่อนข้างหนัก ได้แก่แบงก์ อีคอมเมิร์ช  ถ้าธีมเปลี่ยน สถาบันรอซื้อ เพราะมีของน้อย หลังขายออกไปมาก

นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์การลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า ตลาดยังเหวี่ยงอยู่ คาดหวังเดือนต.ค. วัคซีนทางเลือกจะเข้ามามากขึ้น และทางการคาดการณ์ ยอดผู้ติดเชื้อจำนวน 2.4-2.5 หมื่นรายต่อวัย หากไม่เกิน 2.5 หมื่นรายก็จะดีต่อตลาด คาดเดือนก.ย.ดัชนีแกว่ง 1,450- 1600 จุด   นอกจากนี้หุ้นแบงก์ ยังมีความเสี่ยง หลังการประชุมกนง.ล่าสุด เสียงแตก จึงมีโอกาสที่จะปรับดอกเบี้ยนโยบายลง  ยิ่งกดดันค่าเงินบาทให้อ่อนตัวลง  นอกจากนีี้หากรัฐบาลมีความจำเป็นต้องปรับเพิ่มเพดานการก่อหนี้ต่อจีดีพี อาจจะเสี่ยงต่ออันดับเครดิตของประเทศ ทำให้เงินไหลออกมากขึ้น

“เราแนะนำให้ลดน้ำหนักหุ้นไทยลง 50% ตอนดัชนี 1,600 จุด  หากโอกาสในการซื้อเพิ่ม 5%  และบริเวณ 1,490-1,460 จุด ซื้อเพิ่มอีก 15% การลงทุนในครึ่งปีหลัง
แนะนำตัวใหญ่ 9 ตัว ADVANC,KCE,SAT,BDMS,GULF,GPSC CRC,TIDLOR,AMATA  และขนาดกลาง-เล็ก ICHI,SAPPE,PM” นายกรภัทรกล่าว

ด้านตลาดหุ้นวันที่ 9 ส.ค. ดัชนีทะยานขึ้นปิดที่ระดับ 1,540.19 จุด +18.47 จุดคิดเป็น+1.21% ด้วยมูลค่าการซื้อขายรวม  69,892.57 ล้านบาท โดยนักลงทุนสถาบันไทยช้อน 2,381ล้านบาท  หลังจากตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิดลดลงต่ำกว่า 2 หมื่นรายต่อวัน มีแรงซื้อหุ้นที่ได้รับผลกระทบมากก่อนหน้านี้ ในกลุ่มธนาคาร   AOT และโรงแรม