HoonSmart.com>> “สยามโกลบอลเฮ้าส์” มั่นใจกำไรสุทธิปี 2564 นิวไฮ แค่ 6 เดือน ฟาดไปเกือบเท่าปีก่อน จากค่าใช้จ่ายลดลง กระตุ้นยอดขายทุกช่องทาง ปรับกลยุทธ์เพิ่มสินค้าเฮ้าส์แบรนด์ มาร์จิ้นดี 35-40% ได้ราคาเหล็กหนุน รับผลกระทบโควิด-19 มีบ้าง หลังปิด 9 สาขาชั่วคราว เชื่อยอดขายสาขาเดิมยังบวก ไตรมาส 4 เข้าไฮซีซั่น แผนเปิด 5 สาขาปีนี้ตามเป้า อีก 2 แห่งคาดเปิดช่วงปลายปี สาขาต่างประเทศไม่ได้รับผลกระทบโควิด
น.ส.ชุติกาญจน์ ศรีแสงจันทร์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายบัญชีและการเงิน บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ (GLOBAL) เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่ากำไรสุทธิในปี 2564 คจะทำสถิติสูงสุดใหม่ (New High) จาก 6 เดือนมีกำไรสุทธิที่ 1,938.06 ล้านบาท เทียบกับปีก่อนที่มีกำไรสุทธิทั้งปีที่ 1,955.96 ล้านบาท โดยกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นมาจากการควบคุมค่าใช้จ่ายและต้นทุนต่อสาขาที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ หลังจากติดโซลาร์ครบ 74 สาขา รวมถึงบริษัทมีการกระตุ้นยอดขายจากทุกช่องทาง และการออกโปรโมชั่นต่างๆ
ขณะที่ผลกระทบจากโควิด-19 แพร่ระบาด บริษัทปิดสาขาชั่วคราวไป 9 สาขา บางแห่งอาจจะไม่ได้ปิดครบทั้ง 14 วัน โดยยังต้องรอติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง และแผนการกระจายวัคซีนของภาครัฐ บริษัทฯคาดว่าผลกระทบอาจจะมีบ้างเล็กน้อย แต่ยังคาดว่ายอดขายต่อสาขาเดิม (SSSG) ปี 2564 ยังสามารถรักษาให้เป็นบวกได้ รวมถึงในช่วงไตรมาส 4 จะเริ่มเข้าสู่ช่วงที่มียอดขายเติบโต (High Season) คาดว่าจะทำให้ยอดขายครึ่งหลังใกล้เคียงกับยอดขายครึ่งแรกที่ทำได้ 17,566.55 ล้านบาท
” เรายังต้องรอติดตามผลกระทบจากโควิดว่าในระยะเกือบ 2 เดือนข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ก็ต้องรอดูการควบคุมและการจัดการกระแพร่ระบาดของภาครัฐ และแผนการกระจายวัคซีนว่าจะสามารถทำได้ตามเป้าหรือไม่ โดยเรายังเชื่อว่ากระทบบ้างเล็กน้อย แต่คงไม่หนักเหมือนปีก่อนที่โดนปิดสาขาไป เรายังสามารถทำกำไรให้อยู่ในระดับที่ดีได้ การล็อกดาวน์รอบนี้ เชื่อว่าเราผ่านไปได้ และยังมียอดขาย SSSG ทั้งปียังเป็นบวกได้” น.ส.ชุติกาญจน์ กล่าว
บริษัทได้ปรับกลยุทธ์ในการเพิ่มสินค้าในกลุ่มเฮ้าส์แบรนด์ (House Brand) มากยิ่งขึ้น จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนอยู่ที่ 21% ของยอดขายรวม เนื่องจากสินค้าดังกล่าวมีมาร์จิ้นอยู่ที่ระดับ 35-40% เมื่อเทียบกับสินค้าปกติอยู่ที่ระดับ 15-20% ทำให้บริษัทสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ที่ระดับ 25-26% ได้ และยังส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิ อยู่ในระดับที่ดี เหมือนปัจจุบันที่ระดับ 11%
นอกจากนี้จากราคาเหล็กที่ปรับตัวสูงขึ้น คาดว่าจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้บริษัทมีมาร์จิ้นที่ดีขึ้น โดยประเมินว่าแนวโน้มราคาเหล็กในเดือน ก.ย.-ต.ค.2564 จะปรับขึ้นอีก ซึ่งบริษัทมีการบริหารและจัดการความเสี่ยงอยู่อย่างต่อเนื่องในการสั่งซื้อเหล็กไว้ล่วงหน้าอยู่แล้ว เพื่อควบคุมการผันผวนในด้านราคา
สำหรับแผนการเปิดสาขาใหม่ในปี 2564 คาดว่าจะเปิดทั้งหมด 5 สาขา ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันเปิดไปแล้ว 3 สาขา ส่วนอีก 2 สาขา (ที่อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย และ เกาะสมุย) คาดว่าจะเปิดได้ในช่วงปลายปี 2564 โดยใช้เงินลงทุนเปิดสาขาละประมาณ 250 ล้านบาท โดยแต่ละสาขาก็จะต้องมีคลังเก็บสินค้า ซึ่งใช้เงินลงทุนเพิ่มอีกไม่เกิน 200 ล้านบาทต่อสาขา ส่วนในปีถัดไปถ้าสถานการณ์เริ่มปกติ คาดว่าจะเปิดเพิ่มปีละ 7-8 สาขา นอกจากนี้บริษัทยังอยู่ระหว่างก่อสร้างสาขาที่พนมเปญเพิ่มอีก 1 สาขา จากเดิมมี 1 สาขา
ส่วนยอดขายของสาขาที่ต่างประเทศ ไม่ได้มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ โดยที่ประเทศกัมพูชามี 1 สาขา ถึงแม้มีล็อกดาวน์ แต่ไม่ได้ปิดสาขา เพียงแต่จำกัดเวลาการเปิด ส่วนที่ประเทศลาว มี 6 สาขา และประเทศเมียนมา อีก 8 สาขา ซึ่งเป็นการลงทุนร่วมกับพันธมิตร ปัจจุบันสาขายังเปิดได้ตามปกติ ไม่มีผลกระทบจากโควิด-19