MFC มอง “หุ้นจีน” ปรับฐานจังหวะลงทุน ส่งกอง MCHEVO เน้น 5 ธุรกิจดาวรุ่ง

HoonSmart.com>> บลจ.เอ็มเอฟซี เปิดตัวกองทุนหุ้นจีน “เอ็มเอฟซี ไชน่า เอโวลูชั่น” (MCHEVO) เน้น 5 ธีมลงทุนธุรกิจได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจยุคใหม่ของจีน แนวโน้มเติบโตสูงในระยะยาว ชูบริหารกองทุนเชิงรุก ปรับพอร์ตตามสภาวะตลาด มองรัฐสกัดธุรกิจผูกขาดตลาด คุมโรงเรียนกวดวิชา หนุนเศรษฐกิจเติบโตมีเสถียรภาพ มองจังหวะหุ้นจีนปรับฐานหนุนอัพไซด์เพิ่ม จังหวะลงทุน เปิดขาย IPO ตั้งแต่ 2-10 ส.ค.64 ลงทุนขั้นต่ำ 1,000 บาท

นายธนโชติ รุ่งสิทธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี (MFC) เปิดเผยว่า MFC เปิดตัวกองทุนเอ็มเอฟซี ไชน่า เอโวลูชั่น (MFC China Evolution Fund) หรือ MCHEVO ลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพสร้างมูลค่าอย่างมหาศาลและเติบโตไปพร้อมกับความก้าวหน้าของเศรษฐกิจจีนที่จะมีขนาดใหญ่อันดับ 1 ของโลกในปี 2030 ผ่านการบริหารกองทุนแบบเชิงรุก ทั้งในเชิงมหภาค (Top-down) และในเชิงการคัดเลือกหลักทรัพย์ (Bottom-up) โดยปรับเปลี่ยนการลงทุนได้ตามสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงได้

“5 ธีมลงทุนธุรกิจได้ประโยชน์ไปกับเศรษฐกิจจีนยุคใหม่”

กองทุน MCHEVO เน้นลงทุนใน 5 กลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับประโยชน์จากการเติบโตระยะยาวของพัฒนาการทางเศรษฐกิจและสังคมของจีน ได้แก่ 1.กลุ่มการบริโภค รวมถึง E-commerce ที่เติบโตสูงตามการขยายตัวของสังคมเมือง 2. กลุ่มเทคโนโลยี รวมถึง Cloud Computing ที่เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล 3. กลุ่มอุตสาหกรรม การผลิตโดยใช้หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ 4.กลุ่มพลังงานสะอาดและยานยนต์ไฟฟ้า และ 5. กลุ่มเฮลท์แคร์ นวัตกรรมการแพทย์ การสาธารณสุขรูปแบบโทรเวชกรรมและการใช้เทคโนโลยีชีวภาพ

ด้านนายชาญวุฒิ รุ่งแสงมนูญ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและผู้จัดการกองทุน บลจ.เอ็มเอฟซี กล่าวว่า 5 ธีมการลงทุนของกองทุน MCHEVO เน้นธุรกิจที่ได้รับประโยชน์จากปัจจัยสนับสนุนด้านนโยบายของรัฐบาลจีน เช่น นโยบาย “Made In China 2025” ที่จะปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจจีนไปสู่ “New Economy” โดยเน้นเรื่องนวัตกรรมและเทคโนโลยี, นโยบาย “Dual Circulation”, แผนพัฒนาประเทศจีน 5 ปี (ฉบับที่ 14), “2035 Vision Plan”, และ “Healthy China 2030” และได้รับแรงหนุนจากปัจจัยด้านโครงสร้างประชากรจีนที่มีอายุเฉลี่ยสูงขึ้น ที่ชนชั้นกลางมีรายได้สูงขึ้นและความต้องการคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

“พอร์ตการลงทุนในธุรกิจตาม China Evolution Theme จะเติบโตไปพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงและความก้าวหน้าของจีนได้เป็นอย่างดี”นายชาญวุฒิ กล่าว

สำหรับนโยบายการลงทุนของกองทุน MCHEVO จะลงทุนผ่านกองทุนหลัก 2 กองทุนที่มีการบริหารเชิงรุก (Active) เพื่อสร้างผลตอบแทนสูงกว่าดัชนีอ้างอิง ด้วยสไตล์ของแต่ละกองทุนที่ต่างกัน ทำให้พอร์ตการลงทุนจำลองมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นและโอกาสสร้างผลตอบแทนอย่างยั่งยืนในระยะยาว เนื่องจากมีการลงทุนครอบคลุมหุ้นทุกขนาด

กองทุนแรก คือ Global X China Innovator Active ETF เป็นกองทุนรวม ETF ที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง โดยกองทุนเน้นสร้างผลตอบแทนเงินลงทุนในระยะยาว เน้นลงทุนหุ้นนวัตกรรมขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ที่เติบโตสูงต่อเนื่อง ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์และบริการด้านนวัตกรรม เป็นกุญแจสําคัญสำหรับเศรษฐกิจจีน ที่เป็นตัวขับเคลื่อนหลักในการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน อีกทั้งยังเป็นบริษัทที่เป็นผู้นำ และได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่และการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม กองทุนมีการบริหารการลงทุนและคัดเลือกหุ้นที่มีศักยภาพ พิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานเชิง Valuation ฐานะการเงินและอื่น ๆ

กองทุนที่สอง T. Rowe Price China Evolution Equity Fund ซึ่งเป็นกองทุนรวมภายใต้กลุ่มกองทุนของ T. Rowe Price Funds SICAV Class I มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มมูลค่าของเงินลงทุน บริหารแบบเชิงรุก และกระจายการลงทุนในหุ้นจีนประมาณ 40-80 ตัว ทั้งในหุ้น A-shares, H-shares และหุ้นจีนที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ เน้นหุ้นขนาดเล็กถึงขนาดกลางที่มีศักยภาพเติบโตสูงต่อเนื่อง และมีโอกาสเติบโตแบบก้าวกระโดด แต่อาจถูกมองข้ามจากนักลงทุน โดยจะคัดเลือกหุ้นที่ราคาต่ำกว่าที่ควรจะเป็น (mispricing) ที่มีเอกลักษณ์และศักยภาพโดดเด่น กระบวนการลงทุนออกแบบมา เพื่อแสวงหาโอกาสการลงทุนที่ดีที่สุด โดยไม่อิงกับดัชนี สไตล์การลงทุนหรือหมวดธุรกิจ บริหารกองทุนนำโดย Wenli Zheng

ด้านผลการดำเนินงานกองทุน Global X China Innovator Active ETF ซึ่งยังจัดตั้งไม่นาน แต่จากประสบการณ์ของผู้จัดการกองทุน นำโดย Phil S. Lee มีผลงานโดดเด่นได้รับการจัดอันดับ AAA โดย CITYWIRE และเป็นผู้บริหารกองทุน Asia Growth Equity ที่ได้รับการจัดอันดับ Morningstar 5 ดาว จึงเชื่อว่าจะบริหารจัดการได้ดี ขณะที่กองทุน T. Rowe Price China Evolution Equity Fund มีผลงานโดดเด่น มีอัตราผลตอบแทน (31 ธ.ค.2562 – 30 มิ.ย.2564) เฉลี่ย 50.8% ต่อปี สูงกว่าดัชนีอ้างอิงถึง 27% ต่อปี

หุ้นจีนร่วงหนุนอัพไซด์เพิ่มเท่าตัว

นายชาญวุฒิ กล่าวว่า ตลาดหุ้นจีนที่ปรับตัวลงแรงเมื่อวันที่ 27 ก.ค.ที่ผ่านมาหลังรัฐจ่อคุมสถาบันกวดวิชา ห้ามแสวงหากำไรในธุรกิจการศึกษา ส่งผลให้ราคาหุ้นกลุ่มการศึกษาร่วงแรง ส่งผลกระทบต่อภาพรวมตลาดหุ้นจีนและคาดว่ายังเป็นปัจจัยลบกระทบในระยะสั้น แต่หากมองในระยะยาวยังเชื่อมั่นในการเติบโตของเศรษฐกิจจีนตามแผนการพัฒนาประเทศ ซึ่งรัฐบาลต้องการรักษาเสถียรภาพการเติบโตระยะยาว ทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดี ทุกคนมีกินมีใช้ การจัดระเบียบธุรกิจกลุ่มเทคโนโลยีห้ามผูดขาดการค้า การแข่งขันไม่เป็นธรรม จนล่าสุดจัดระเบียบธุรกิจการศึกษา

“กองทุนหลักลงทุนหุ้นการศึกษาในสัดส่วนที่น้อย จึงไม่ส่งผลกระทบต่อพอร์ตโดยรวม อีกทั้งรัฐบาลจีนก็ส่งสัญญาณมาก่อนแล้ว ผู้จัดการกองทุนจึงเตรียมรับมือ อีกทั้งการที่พอร์ตการลงทุนกระจายการลงทุนไปยังหลายอุตสาหกรรมและหุ้นหลายตัว จึงช่วยลดความเสี่ยงจากธุรกิจใดธุรกิจหนึ่ง เวลาหุ้นตัวใดลงแรงจึงกระทบพอร์ตจำกัด แต่ภาพรวมหุ้นจีนที่ปรับตัวลดลงในช่วงนี้ก็ส่งผลกระทบกองทุนต่อกองทุนเช่นเดียวกับอุตสาหกรรม”นายชาญวุฒิ กล่าว

อย่างไรก็ตามการปรับตัวลงของตลาดหุ้นจีน เป็นจังหวะเข้าลงทุนจากมุมมองในระยะยาวยังมีการเติบโต อีกทั้งราคาหุ้นที่ร่วงลง ส่งผลให้อัพไซด์หุ้นในพอร์ตกองทุนหลักเพิ่มขึ้น จากข้อมูลบลูมเบิร์ก นักวิเคราะห์คาดการณ์ในอีก 12 เดือนข้างหน้าหุ้นในพอร์ตมีอัพไซด์ 35.7% ณ 26 ก.ค.2564 จากเดิมอยู่ที่ประมาณ 16.8%

ขณะเดียวกันจากพอร์ตจำลองของกองทุน MCHEVO สร้างผลตอบแทนระยะเวลา 17 เดือนจากสิ้นปี 2562 จนถึงเดือนพ.ค.2564 ผลตอบแทนอยู่ที่ 115.3% สูงกว่า MSCI ALL CHINA อยู่ที่ 31.7% และย้อนหลัง 12 เดือนผลตอบแทนกองทุน 85.3% สูงกว่า MSCI ALL CHINA อยู่ที่ 38.7% ในขณะที่ความผันผวนของกองทุนใกล้เคียงกับ MSCI ALL CHINA

“MCHEVO เหมาะกับนักลงทุนที่รับความผันผวนได้และสามารถลงทุนได้ในระยะปานกลางถึงระยะยาว คาดหวังผลตอบแทนดีกว่าลงทุนในตราสารหนี้ทั่วไปโดยแนะนำจัดพอร์ตการลงทุน หากนักลงทุนมีหุ้น 100% ควรมีหุ้นจีน 30% และแบ่งลงทุนในกองทุน MCHEVO ประมาณ 15% เนื่องจากเป็นการลงทุนใน 5 ธีมอุตสาหกรรมเท่านั้น และอีก 15% ลงทุนหุ้นจีนที่ลงทุนในทุกกลุ่มอุตสาหกรรม”นายชาญวุฒิ แนะนำ

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถลงทุนขั้นต่ำ 1,000 บาท เปิดขายครั้งแรก (IPO) ระหว่างวันที่ 2 – 10 ส.ค.2564 โดยกองทุนมีมูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท ไม่มีมีนโยบายจ่ายเงินปันผล ความเสี่ยงของกองทุนระดับ 6