SCGP มั่นใจปี 64 โกยรายได้กว่า 1 แสนลบ. ครึ่งปีฟาดกำไร 4.39 พันลบ.โต 21%

HoonSmart.com>> “เอสซีจี แพคเกจจิ้ง” ลั่นปี 2564  โกยรายได้ทะลุ 1 แสนล้านบาท จ่อซื้อกิจการอีก 2 ราย คาดชัดเจนในไตรมาส 3  รวมปีนี้ 5 ราย รับรู้รายได้เต็มปี 1.8 หมื่นล้านบาท  ตั้งเงินลงทุน 2 หมื่นล้านบาท ใช้ขยายธุรกิจ ย้ำสถานะการเงินแกร่ง เงินสดในมือ 3 หมื่นล้านบาท D/E ต่ำ ครึ่งปีฟาดรายได้ 5.71 หมื่นล้านบาท โต 24% มีกำไร 4.39 พันล้านบาท โต 21% บอร์ดอนุมัติจ่ายปันผล 0.25 บาท ขึ้น XD  วันที่ 9 ส.ค.นี้

นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) เปิดเผยว่า บริษัทฯตั้งเป้าหมายรายได้จากการขายรวมปี 2564 มากกว่า 100,000 ล้านบาท ตามกลยุทธ์ที่วางไว้ และมีโครงการขยายกำลังการผลิต ได้แก่ ผลิตบรรจุภัณฑ์อาหารจากกระดาษเพิ่มขึ้นอีก 1,615 ล้านชิ้นต่อปี ที่ประเทศไทยและประเทศเวียดนาม คาดว่าจะเริ่มการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ภายในไตรมาสที่ 3 ปีนี้ รวมถึงการขยายกำลังการผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ในฟิลิปปินส์อีก 220,000 ตันต่อปี และบรรจุภัณฑ์พอลิเมอร์แบบอ่อนตัวในประเทศไทยอีก 53 ล้านตารางเมตรต่อปี ที่คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 4 ปีนี้

นอกจากนี้ยังมีการเติบโตจากการเข้าควบรวมกิจการ กับ Bien Hoa Packaging Joint Stock Company (SOVI) และ Duy Tan Plastics Manufacturing Corporation (Duy Tan) ผู้นำด้านบรรจุภัณฑ์พลาสติกแบบคงรูป ในประเทศเวียดนาม และการเข้าลงทุนใน Go-Pak UK Limited ที่จะทยอยเริ่มรับรู้รายได้เข้ามาบางส่วนปี 2564 นี้ ซึ่งถ้ารับรู้รายได้เต็มปีของ 3 บริษัทดังกล่าวอยู่ 12,000 ล้านบาทต่อปี

ทั้งนี้คาดว่าภายในไตรมาส 3 บริษัทคาดว่าจะสามารถสรุปผลการเข้ารวมกิจการได้อีก 2 ราย ได้แก่ การเข้าถือหุ้น 75% ใน PT Indonesia Dirtajaya Aneka Industri Box, PT Bahana Buana Box และ PT Rapipack Asritama (Intan Group) เพื่อขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์กระดาษ ในประเทศอินโดนีเซีย และการเข้าถือหุ้น 85% ใน Deltalab, S.L. ประเทศสเปน เพื่อเสริมศักยภาพการให้บริการและการเติบโตของวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ ถ้าสรุปผลการรวมกิจการ บริษัทจะรับรู้รายได้ของ 2 บริษัทดังกล่าวเต็มปีอยู่ที่ 6,000 ล้านบาทต่อปี

“ถ้าเราสามารถบรรลุอีก 2 ดีลได้ในไตรมาส 3 รวมปีนี้ทั้งหมดจะมี 5 ดีล เราจะรับรู้รายได้เต็มปีที่ 18,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งยังไม่รวมการเติบโตอื่นๆจากกลยุทธ์ร่วมกัน อีกทั้งยังมีการเจรจากับรายอื่นๆอยู่อีก ถ้ามีการเติบโตและสามารถสร้างกลยุทธ์รวมกันได้เราก็พร้อมจะลงทุน โดยปัจจุบันบริษัทมีสถานะการเงินที่แข็งแกร่ง มีเงินสดในมือเกือบ 30,000 ล้านบาท มีอัตราหนี้สินต่อทุนที่ระดับ 0.6 เท่า และมี Net Debt to EBITDA ที่ระดับ 0.9 เท่าเรายังมีโอกาสในการเข้าลงทุนเพื่อสร้างการเติบโตอีกมาก” นายวิชาญ กล่าว

ขณะที่เงินลงทุนในปี 2564 ตั้งงบลงทุนไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท ใช้เข้าควบรวมกิจการอีก 2 รายที่เหลือ เพื่อกระจายฐานลูกค้าในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เพิ่มพอร์ตบรรจุภัณฑ์ที่หลากหลาย รวมถึงมีการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม กระบวนการทำงาน และโมเดลธุรกิจ เพื่อนำเสนอโซลูชันด้านบรรจุภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าแต่ละราย รวมถึงการบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง

ส่วนทิศทางในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 บริษัทคาดว่าจะสามารถรักษาการเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยการควบคุมค่าใช้จ่ายต่างๆอย่างมีประสิทธิภาพ และปรับปรุงงานอย่างต่อเนื่องในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันได้ เพื่อรักษาอัตรา EBITDA Margin ให้อยู่ในระดับ 20% ใกล้เคียงปัจจุบัน เนื่องจากยังคงเผชิญกับความเสี่ยงทั้งค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้น  และสถานการณ์โควิด-19 ที่ยังมีอยู่ แต่เชื่อว่าครั้งนี้ไม่ได้กระทบหนักกว่าที่แล้ว เนื่องจากธุรกิจหลายแห่งมีการปรับตัว และอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ตอบสนองกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป รวมถึงเริ่มมีการกระจายวัคซีนในหลายๆประเทศ ที่เป็นปัจจัยบวก

ด้านผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2564 มีรายได้จากการขายรวม 57,148 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% และมีกำไรสุทธิ 4,398 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนกำไรก่อนหักต้นทุนทางการเงิน ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) (ไม่รวมเงินปันผลรับจากบริษัทร่วม และรวมกำไรขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนของเงินกู้ยืม) อยู่ที่ 10,831 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

สำหรับไตรมาส 2/2564 มีรายได้จากการขายรวม 29,895 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38%  และมีกำไรสุทธิ 2,263 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีอัตรา EBITDA Margin ในระดับ 19%

คณะกรรมการบริษัทฯอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลปี 2564 ในอัตรา 0.25 บาทต่อหุ้น เป็นเงินทั้งสิ้น 1,073 ล้านบาท ให้ผู้มีสิทธิรับเงินปันผล (Record date) วันที่ 10 ส.ค. และขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 9 ส.ค. กำหนดจ่ายเงินวันที่ 25 ส.ค. 2564