SCBT คงเป้าเศรษฐกิจไทยปี 64 ที่ 1.8%

HoonSmart.com>>SCBT คงเป้าจีดีพีไทยปีนี้ที่ 1.8% แม้ผลสำรวจนักลงทุนต่างชาติ 55% มองเศรษฐกิจไทยแย่ หลังต้องเผชิญการระบาดของโควิด รับการควบคุมการระบาดและเร่งกระจายวัคซีนเป็นปัจจัยสำคัญต่อการฟื้นตัว เชื่อรัฐบาลเปิดประเทศได้ตามเป้าในสิ้นปีนี้ หนุนใช้เงินงบประมาณกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน

ดร.ทิม ลีฬหะพันธุ์ นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) กล่าวธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดได้พบนักลงทุนสถาบันต่างชาติเมื่อไม่นานมานี้ รวมทั้งได้จัดงานสัมมนาออนไลน์อัพเดททิศทางเศรษฐกิจให้กับลูกค้า พบว่านักลงทุนและลูกค้ายังมีความกังวลกับความไม่แน่นอนในภาพรวมเศรษฐกิจไทย โดย 55% มองว่า เศรษฐกิจน่าจะแย่ลง 33% ระบุว่า ยากที่จะบอกเนื่องจากตอนนี้ยังมีความไม่แน่นอน และ 12% เชื่อว่า เศรษฐกิจไทยน่าจะค่อยๆดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

แม้ขณะนี้ภาพรวมเศรษฐกิจยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แต่จากบทวิจัยล่าสุดของธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดพบว่า บริษัทต่างชาติ รวมถึงบริษัทจากยุโรป มองเห็นโอกาสในการขยายธุรกิจมายังภูมิภาคอาเซียนโดยเฉพาะประเทศไทย เวียดนาม และมาเลเซีย

ส่วนค่าเงินบาทยังมีทิศทางที่อ่อนค่าลง โดยวันนี้(23 ก.ย.64)เงินบาทแตะที่ระดับ 32.95 บาทต่อดอลลารสหรัฐ ซึ่งเป็นการอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา และเป็นสกุลเงินที่อ่อนค่ามากที่สุดเมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่นๆในเอเชีย และจากการโรดโชว์นักลงทุนที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษการเปลี่ยนแปลงของเงินบาท ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างมาก เนื่องจากการเคลื่อนไหวของเงินบาทในปัจจุบัน แตกต่างจากในช่วง 2-3 ที่ผ่านมา ที่เงินบาทแข็งขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“ปีนี้เป็นปีที่ท้าทายของเงินบาท โดยเรายังเห็นปัจจัยลบต่อค่าเงินบาท เช่น การฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวไทยยังมีความไม่แน่นอน ในขณะเดียวกันราคาน้ำมันปรับสูงขึ้น และดุลบัญชีเดินสะพัดที่ลดลงอย่างมาก ทำให้เงินบาทน่าจะเผชิญสภาวะกดดันจนกว่าสถานการณ์โควิดจะดีขึ้น “ ดร.ทิม กล่าว

สำหรับเศรษฐกิจไทยปีนี้ ธนาคารยังคงเป้าหมายการเติบโตที่ 1.8% ส่วนปี 2565 คาดว่าจะขยายตัวได้ในอัตรา 3.1% โดยสถานการณ์โควิด-19 และการกระจายวัคซีนเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด ที่จะทำให้การฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวมีอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งความชัดเจนของนโยบายการเงินและนโยบายการคลังก็เป็นปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปีนี้ และจะสะท้อนให้เห็นทิศทางในปีหน้า โดยเฉพาะหากมีการขยายเพดานหนี้สาธารณะ ก็ควรนำเงินที่จะกู้มาเพื่อใช้ในการฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งจะส่งผลดีและยั่งยืนกว่าการนำเงินมาเยียวยาประชาชน

ด้านการท่องเที่ยวเชื่อว่าในสิ้นปีนี้ รัฐบาลจะเปิดประเทศได้ตามเป้าหมาย เนื่องจากการทดสอบรับนักท่องเที่ยวที่จังหวัดภูเก็ต ถือว่าเป็นไปตามเป้าหมาย แม้จะมีคนที่ติดโควิดเพิ่มขึ้นบ้าง แต่ไม่น่าห่วง

ส่วนการส่งออกยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้เชื่อว่า การส่งออกจะกลับมาเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจไทยได้อีกครั้ง โดยส่วนหนึ่งได้รับปัจจัยสนับสนุนจากเงินบาทที่ปรับตัวอ่อนค่ามาอย่างต่อเนื่อง

“ด้านอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังคงเปราะบาง เราคิดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย น่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ในระดับต่ำไปอีกอย่างน้อย 3 ปีข้างหน้าตั้งแต่ปี 2564-2566 แม้ธนาคารกลางบางแห่งจะเริ่มส่งสัญญาณการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายแล้วก็ตาม และในการประชุมครั้งหน้าวันที่ 4 ส.ค. ก็เชื่อว่ากนง.จะคงดอกเบี้ยไว้ที่ ระดับ 0.5% ” ดร.ทิม กล่าว