TISCO กำไรดี ดันแบงก์คึกชั่ววูบ เตือนสารพัดเสี่ยง เหมาะลงทุนยาว

HoonSmart.com>>”TISCO”เป็นจ่าฝูงโชว์กำไรไตรมาส 2/64 ดี ตั้งสำรองลด สวนทาง NPLs เพิ่ม โควิดฉุดค่าธรรมเนียมลดฮวบ บล.ทรีนีตี้มองบวกอุ้มลูกหนี้ 2 เดือน เตือนลุยหุ้นแบงก์ระวังเสี่ยงพลิกล็อก คาดปีนี้ 6 แบงก์ให้ปันผลเกิน 3% บล.โนมูระฯ แนะซื้อถือยาว ชอบ BBL-TISCO บล.เมย์แบงก์ ซื้อเมื่ออ่อนตัว มองปี 65 กลับมาโต ชอบ KBANK-TISCO เหมือนบล.เอเซียพลัส  ส่วนราคาน้ำมันดิบกระแทกลง กลุ่มโอเปคพลัสคุยไม่ลงตัว หนุนกลุ่มขนส่ง เฟดไม่รีบลดคิวอี ปรับขึ้นดอกเบี้ย

บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป (TISCO) ประเดิมประกาศกำไรสุทธิ ไตรมาส 2/2564 ออกมา 1,666.39 ล้านบาท เติบโต 25.3% จากช่วงเดียวกันของปีแล้ว รวม  6 เดือนแรกของปีมีกำไรสุทธิ 3,430.01 ล้านบาท เติบโต 21.83% โดยนายศักดิ์ชัย พีชะพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TISCO กล่าวว่า กำไรสุทธิลดลง 97 ล้านบาท หรือ 5.5% จากไตรมาส 1/2564 เพราะรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยลดลง 21.4% โดยเฉพาะค่าธรรมเนียมจากทุกธุรกิจหลัก ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองลดลง เพราะตั้งสำรองไว้สูงเพื่อรองรับความเสี่ยงล่วงหน้าไปแล้ว แม้อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL Ratio) ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 2.7% แต่เป็นไปตามคาดการณ์ไว้ ขณะที่อัตราส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพแข็งแกร่งอยู่ที่ 213.7%

ส่วนกำไรครึ่งปีแรกดีขึ้น สาเหตุหลักมาจากธุรกิจตลาดทุน  และการรับรู้กำไรจากเงินลงทุน ทำให้รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเติบโต 32.3% ขณะที่ธุรกิจหลัก ธนาคารพาณิชย์ยังคงอ่อนแอ รายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลง 5% ณ วันที่ 30 มิ.ย.64 สินเชื่อรวมอยู่ที่ 213,995 ล้านบาท ลดลง 4.8% จากสิ้นปีก่อนหน้า

บล.ทรีนีตี้ออกบทวิเคราะห์กลุ่มธนาคาร คาดว่าTISCO กำไรสุทธิ 1,570 ล้านบาท ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) มีกำไรสุทธิ 9,608 ล้านบาท พุ่งขึ้น 342% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ธนาคารกรุงเทพ(BBL) มีกำไรสุทธิ 6,440 ล้านบาท เติบโต 108% และธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) กำไร 7,703 ล้านบาทลดลง 8%

กรณีธปท.จับมือสมาคมธนาคารไทยและสมาคมธนาคารนานาชาติ ออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ต้องปิดกิจการ จากมาตรการของยกระดับมาตรการป้องกันควบคุมโรคในพื้นที่ 10 จังหวัด โดยจะพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยให้แก่ลูกหนี้ SMEs และรายย่อยเป็นระยะเวลา 2 เดือน จะช่วยลดความกังวล รวมถึงจะส่งผลกระทบต่อกำไรไม่มาก เนื่องจากธนาคารยังสามารถรับรู้รายได้ตามเกณฑ์คงค้างได้ ขณะที่อาจไม่ต้องตั้งสำรองหนี้เพิ่มเติมจากมาตรการดังกล่าว

ด้านราคาหุ้นของกลุ่มธนาคารอ่อนตัวลงที่ผ่านมา สะท้อนความเสี่ยงไประดับหนึ่งแล้ว จึงมองมาตรการของธปท. จะส่งผลบวกต่อหุ้นในกลุ่มธนาคาร แต่ยังมีปัจจัยที่ต้องจับตาดูการประกาศกำไรในสัปดาห์นี้และสัปดาห์หน้า ซึ่งอาจเห็นกำไรอ่อนตัวจากไตรมาสแรกเป็นปัจจัยกดดันระยะสั้นได้

นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล. โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า วันที่ 15 ก.ค.หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวได้ค่อนข้างดี เนื่องจากเข้าสู่ช่วงรายงานผลงาน โดย TISCO ออกมาใกล้เคียงกับที่คาด เกิดแรงซื้อเก็งกำไร คาดการณ์กำไรสุทธิของ 7 ธนาคาร ได้แก่  BBL, KBANK, TISCO, KKP, SCB ,TTB และKTB มีกำไรรวม 34,512 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามปัจจัยเสี่ยงกลุ่มธนาคารยังมีอยู่ การประชุมของนักวิเคราะห์หลังรายงานกำไรครบทุกแบงก์ จะพูดถึงคุณภาพสินทรัพย์, NPL และผลกระทบโควิดต่างๆ ส่วนปัจจัยบวกยังไม่มีอย่างเห็นได้ชัด จึงแนะนำเป็นลงทุนระยะยาว หุ้น BBL ที่ราคาเหมาะสม 155 บาท และ TISCO ที่ราคา 108 บาท โดยใช้จังหวะตลาดอ่อนตัวในการเข้าซื้อ สำหรับนักลงทุนที่ซื้อแล้ว ถ้าราคาหุ้นปรับตัวขึ้น ก็สามารถขายทำกำไรไปก่อนได้ เนื่องจากยังมีความเสี่ยงรออยู่

บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) คาดการณ์  7 ธนาคารมีกำไรสุทธิรวม 35,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 53% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่กำไรลดลง 10% จากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากการตั้งสำรองที่สูงขึ้น และส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ที่ลดลง ส่วนไตรมาส 3 คาดว่า NPLs และต้นทุนสินเชื่อจะเพิ่มขึ้น  คุณภาพสินทรัพย์ที่แย่ลงจากการระบาดระลอกใหม่ แนวโน้มปี 2565 จะค่อยๆดีขึ้น มองเป็นโอกาสในการทยอยสะสมเมื่อราคาอ่อนตัว แนะนำหุ้น KBANK ที่ราคาเป้าหมาย 160 บาท และ TISCO เป้าหมาย 110 บาท

บล. เอเซีย พลัส คาด  6 ธนาคาร คือ BBL, KBANK, TISCO, KKP, SCB และ KTB มีกำไรรวม 31,000 ล้านบาท ลดลง 15% จากไตรมาสก่อนหน้า แต่เพิ่มขึ้น 56% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนไตรมาส 3 กำไรยังไม่ฟื้นตัว เนื่องจากการตั้งสำรอง ยังไม่น่าลดลงเร็ว แต่ราคาหุ้นกลุ่มแบงก์ตอบรับปัจจัยลบไปพอสมควร ทยอยสะสมได้  หลังตลาดเริ่มเห็นคุณภาพสินทรัพย์ที่ชัดเจนขึ้น แนะนำ TISCO ที่ราคาเหมาะสม 102 บาทคาดปันผลเด่น 7.7% KBANK ราคาเหมาะสมที่ 155 บาท ราคาหุ้นยังไม่แพง ในช่วงระยะกลางถึงยาว คาดว่าจะปรับตัวเข้ากับยุคดิจิทอลได้ค่อนข้างดี

ด้านธุรกิจแบงก์ยังมีความไม่แน่นอนจากภาวะเศรษฐกิจ ล่าสุดธนาคารโลกปรับลดคาดการณ์ปีนี้เหลือโต 2.2% และปีหน้าฟื้นตัว 5.1% คาดนักท่องเที่ยวจะเข้ามาเพียง 6 แสนคนเท่านั้น  บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทยหั่นเป้า GDP ปีนี้เหลือโต 1% จาก 1.8% จากโควิดรุนแรงขึ้น เผชิญความไม่แน่นอนสูง

ขณะเดียวกัน บล.บัวหลวงเพิ่มน้ำหนักกลุ่มการแพทย์ ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปีนี้และราคาเป้าหมายสิ้นปี 2565  หุ้น BCH, CHG, BDMS และ BH ปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของกำไรไตรมาสที่ 2 และปี 2564 อัพไซต์จากเคสโควิด และวัคซีน ส่วนภาพรวมกำไรไตรมาส 2 เพิ่มขึ้นเด่น  ได้แก่ ปิโตรเคมี พลังงาน โรงพยาบาล อสังหาริมทรัพย์ เดินเรือ คาดกำไรโตต่อในไตรมาส 3 ส่วนราคาน้ำมันดิบที่ลดลง ส่งผลดีต่อ RCL และ KEX

นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบยังคงผันผวน หลังตลาดกังวลเรื่องความขัดแย้งในการประชุมกลุ่มโอเปกพลัสเกี่ยวกับนโยบายการผลิตเดือนสิงหาคม 2564 เป็นต้นไป หากไม่ปรับเพิ่มการผลิตใดๆ จะทำให้ตลาดเผชิญภาวะอุปทานตึงตัวในไตรมาส 3 และ 4 ได้ ในทางตรงกันข้ามตลาดยังคงกังวลว่า หากไม่มีข้อสรุปอาจเกิดสงครามราคาขึ้น

การซื้อขายหุ้นวันที่ 15 ก.ค. ดัชนีปรับตัวขึ้นตามตลาดต่างประเทศ หลังจากประธานเฟดยังคงวงเงินคิวอี และไม่เร่งปรับขึ้นดอกเบี้ย หลังจากตัวเลขเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นมาก นอกจากนี้นักลงทุนยังเข้าเก็งกำไรหุ้นรายตัว เช่น DELTA ที่ออกจากแคชบาลานซ์วันแรก ไล่ราคาขึ้นแรง ปิดที่ 652 บาท พุ่งขึ้น 78 บาทหรือ 13.59% จนตลาดหลักทรัพย์จับเข้าห้องขังอีกรอบ คราวนี้ขึ้นระดับ 2 นานถึงวันที่ 5 ส.ค. 2564