HoonSmart.com>>ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้วงเงินไม่เกิน 4 พันล้านบาทของ”เมืองไทย แคปปิตอล” ที่ BBB+ แนวโน้ม คงที่ สะท้อนสถานะผู้นำธุรจสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน ยังคงดำรงสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งและคุณภาพกำไรต่อไปได้ 2-3 ปี สินเชื่อโตปีละ 10-12% ฐานเงินทุนที่แข็งแกร่ง คุณภาพสินทรัพย์ที่ค่อนข้างมีเสถียรภาพ แหล่งเงินทุนที่หลากหลาย สภาพคล่องที่เพียงพอ
บริษัททริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล (MTC) ที่ระดับ BBB+ ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต คงที่ ในขณะเดียวกันยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 4 พันล้านบาท ที่ระดับ BBB+ ด้วย โดยบริษัทจะนำเงินไปชำระคืนหนี้และขยายพอร์ตสินเชื่อ
อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะความเป็นผู้นำในธุรกิจสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน (Auto Title Loan) และฐานเงินทุนที่แข็งแกร่ง อีกทั้งยังสะท้อนถึงกำไรที่ดี คุณภาพสินทรัพย์ที่ค่อนข้างมีเสถียรภาพ ตลอดจนแหล่งเงินทุนที่หลากหลายและสภาพคล่องที่เพียงพอ
อย่างไรก็ตามอันดับเครดิตมีข้อจำกัดจากภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอและการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงในอุตสาหกรรมสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน
ทริสคาดว่าบริษัทจะยังคงดำรงสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งได้ในช่วงระยะเวลา 2-3 ปีข้างหน้า เชื่อว่าบริษัทจะสามารถต่อยอดความชำนาญในธุรกิจรวมทั้งขยายเครือข่ายสาขาและฐานลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนมี.ค. 2564 บริษัทมียอดสินเชื่อคงค้างเติบโตขึ้นที่ระดับ 17% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว อยู่ที่จำนวน 7.35 หมื่นล้านบาท คาดว่ายอดสินเชื่อใหม่ จะเติบโต 10-20% ต่อปีในช่วงระหว่างปี 2564-2566 ปัจจัยสนับสนุนหลักจากสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกันยังคงมีอุปสงค์ที่ดีจากผลของภาวะสภาพคล่องที่ตึงตัวจากเศรษฐกิจที่ถดถอย ทริส ยังคาดหวังว่าการขยายสู่ธุรกิจใหม่คือการให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ใหม่จะช่วยสนับสนุนการเติบโตของยอดสินเชื่อและอัตราดอกเบี้ยรับในระยะยาวท่ามกลางการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงอีกด้วย
ส่วนคุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทอาจอ่อนตัวลงเล็กน้อย แต่จะอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้และจะมีผลกระทบต่อสถานะความเสี่ยงในขอบเขตที่จำกัด โดยนโยบายการให้สินเชื่อที่เข้มงวดและกระบวนการจัดเก็บหนี้ที่มีประสิทธิภาพน่าจะช่วยให้บริษัทสามารถควบคุมผลขาดทุนด้านเครดิตที่อาจเกิดขึ้นได้ จึงเชื่อว่าบริษัทจะสามารถรักษาเป้าหมายอัตราส่วนสินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตหรือสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวมที่ระดับต่ำกว่า 2% เอาไว้ได้ โดย ณ สิ้นเดือนมี.ค. บริษัทมีอัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ระดับ 1% เท่ากับในปี 2563 บริษัทมีต้นทุนด้านเครดิตที่ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปีแล้วอยู่ที่ระดับ 0.8% ในไตรมาสแรกของปี 2564 คาดว่าค่าใช้จ่ายการตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตจะเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 1.1-1.2% ของสินเชื่อเฉลี่ยในระหว่างปี 2564-2566 และอัตราส่วนสำรองสำหรับผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้น่าจะคงอยู่ที่ระดับประมาณ 160-170% ในระยะเวลา 2-3 ปีข้างหน้า เทียบกับณ สิ้นเดือนมี.ค. 2564 อยู่ที่ระดับ 184%
ทริสคาดว่าบริษัทจะยังคงรักษาคุณภาพกำไรต่อไปได้ในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า ในไตรมาสแรกของปี 2564 อัตราส่วนกำไรก่อนภาษีเงินได้ต่อสินทรัพย์เสี่ยงถัวเฉลี่ยเมื่อปรับให้เป็นตัวเลขเต็มปียังคงอยู่ที่ระดับ 8.5% โดยบริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1.37 พันล้านบาท เติบโต 11% กำไรที่เพิ่มขึ้นสาเหตุหลักมาจากรายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิที่สูงขึ้นและการควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่ดีของบริษัท
ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทน่าจะยังคงรักษาความสามารถในการทำกำไรเอาไว้ได้ในอีก 2-3 ปีข้างหน้าด้วยการบริหารจัดการต้นทุนทางการเงินและค่าใช้จ่ายดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพถึงแม้ว่าจะมีการแข่งขันที่รุนแรงส่งผลให้อัตราผลตอบแทนลดลงก็ตาม เชื่อว่าการขยายสู่ธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ใหม่จะช่วยสนับสนุนความสามารถในการทำกำไรได้ โดยประมาณการว่าอัตราดอกเบี้ยรับจะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 19% ในระยะเวลา 2-3 ปีข้างหน้าจากระดับปัจจุบันที่ 19.9%
สถานะในการระดมทุนและสภาพคล่องที่เพียงพอ มีปัจจัยสนับสนุนมาจากการที่บริษัทมีความสามารถในการเข้าถึงตลาดตราสารหนี้และตลาดตราสารทุนรวมถึงมีวงเงินสินเชื่อจากสถาบันการเงินหลายแห่งซึ่งแสดงถึงการมีช่องทางในการระดมทุนที่หลากหลาย โดย ณ สิ้นเดือนมี.ค. 2564 บริษัทมีวงเงินสินเชื่อจากสถาบันการเงินต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น 2.89 หมื่นล้านบาท
ทริสคาดว่าโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะคงความแข็งแกร่งต่อไปโดยประมาณการว่าจะมีอัตราส่วนเงินทุนที่ปรับความเสี่ยงอยู่ในช่วง 23.6-24.8% ในระหว่างปี 2564-2566 ทั้งนี้ ความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่งและนโยบายการจ่ายเงินปันผลในระดับต่ำน่าจะช่วยสนับสนุนการสะสมฐานทุนของบริษัทได้ อีกทั้งทริสยังคาดว่าบริษัทจะสามารถปฏิบัติให้เป็นไปตามเงื่อนไขสำคัญทางการเงินที่ให้ต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นไว้ไม่เกิน 4.5 เท่าได้ ซึ่ง ณ สิ้นเดือนมี.ค. 2564 บริษัทมีอัตราส่วนเงินทุนที่ปรับความเสี่ยงและอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ระดับ 24.2% และ 2.6 เท่าตามลำดับ