“สแกน อินเตอร์” รุกใหญ่พลังงานหมุนเวียนในภูมิภาคอาเซียน ลุยซื้อหุ้น GEP Thailand เพิ่มอีก 21% ขยับถือ 51% พร้อมออกหุ้น PP จำนวน 24 ล้านหุ้น ราคาจองซื้อ 4.50 บาท สูงกว่าราคาตลาด ให้ Planet Energy Holdings ผู้เชี่ยวชาญธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์และเป็นผู้ถือหุ้นดั้งเดิมของ GEP Thailand ขึ้นแท่นเป็นเจ้าของโครงการโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์หนึ่งในโครงการใหญ่ที่สุดในอาเซียน
ดร.ฤทธี กิจพิพิธ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สแกน อินเตอร์ (SCN) ผู้ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับก๊าซธรรมชาติแบบครบวงจร เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2561 ได้อนุมัติการเข้าลงทุนเพิ่มเติมในบริษัท GEP Thailand จำกัด อีก 21% จากเดิมที่ถือหุ้นอยู่แล้ว 30% ส่งผลให้บริษัทฯ ถือหุ้นเป็น 51% หรือคิดเป็นมูลค่าการลงทุนตามสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทอยู่ที่ 2,143 ล้านบาท
ทั้งนี้ GEP Thailand เป็นบริษัทโฮลดิ้ง ที่ถือหุ้น 100% ในบริษัท GEP Myanmar จำกัด ผู้ได้รับสัมปทานจากรัฐบาลเมียนมาร์ให้เป็นผู้ดำเนินการพัฒนาและก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่เมืองมินบู ประเทศเมียนมาร์ และทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) กับ บริษัท Electric Power Generation Enterprise จำกัด (EPGE) ระยะเวลาทั้งสิ้น 30 ปี นับตั้งแต่วันที่เริ่มดำเนินการจ่ายไฟฟ้า
ทั้งนี้ การเข้าทำรายการซื้อหุ้นสามัญเพิ่มเติมดังกล่าว จะทำให้ SCN ก้าวสู่การเป็นเจ้าของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เมืองมินบู ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน กำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 220 MW โดยการเข้าลงทุนในครั้งล่าสุดนี้ SCN ได้ออกและจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนเพื่อเสนอให้แก่บุคคลในวงจำกัดแบบกำหนดวัตถุประสงค์ในการใช้เงินทุน (PP) จำนวน 24 ล้านหุ้น ในราคา 4.50 บาท เพื่อจัดสรรให้แก่ บริษัท Planet Energy Holdings จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์และเป็นผู้ถือหุ้นดั้งเดิมในบริษัท GEP Thailand โดยบริษัท Planet Energy Holdings จำกัด เข้ามาซื้อหุ้นใน SCN ในราคาที่สูงกว่าราคาตลาดนั้น สะท้อนถึงความมั่นใจของ Planet Energy Holdings ที่เห็นศักยภาพการเติบโตของ SCN ที่จะมีการเติบโตได้อีกมาก รวมถึงความเชื่อมั่นต่อการผลักดันการดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ให้ประสบความสำเร็จได้ตามแผนที่วางไว้ และสร้างผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุน นอกเหนือจากประโยชน์ที่ SCN จะได้รับจากการลดต้นทุนทางเงินโดยไม่ต้องกู้ยืมเงินในการเข้าลงทุนซื้อหุ้นสามัญเพิ่มเติมใน GEP Thailand ทั้งนี้ บริษัทฯ จึงกำหนดวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2561 ในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2561 เพื่อขออนุมัติผู้ถือหุ้นในการออกและจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนเพื่อเสนอขายหุ้นให้แก่บุคคลในวงจำกัดแบบกำหนดวัตถุประสงค์ในการใช้เงินทุนจากผู้ถือหุ้น
“เรามองเห็นศักยภาพของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่เมืองมินบู ประเทศเมียนมาร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่ที่สุดในอาเซียน กำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 220 MW ที่ได้ทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าในอัตรา 0.1275 เหรียญสหรัฐต่อกิโลวัตต์ต่อชั่วโมงตลอดอายุสัญญา 30 ปี นับจากวันที่เริ่มจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์เข้าสู่ระบบตามสัญญา ดังนั้นเราจึงเพิ่มสัดส่วนการลงทุนใน GEP Thailand เป็น 51% เพื่อเป็นเจ้าของโครงการ โดยมีอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) อยู่ในระดับที่มากกว่า 10% คาดจะเริ่มดำเนินการ COD เฟสแรกได้ 50 MW ภายในมกราคม 2562 และจะทยอยก่อสร้างแล้วเสร็จครบทุกโครงการภายในปี 2565 ซึ่งส่งผลดีต่อการสร้างรายได้ที่สม่ำเสมอให้แก่บริษัทฯ ในระยะยาวตลอดอายุสัญญาขายไฟฟ้าอีกด้วย”ดร.ฤทธี กล่าว
ส่วนผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-มิ.ย.2561) SCN มีกำไรก่อนต้นทุนทางเงินและภาษี (EBIT) และไม่รวมค่าใช้จ่ายด้านที่ปรึกษาทางการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์มินบู เติบโตพุ่ง 30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีปัจจัยมาจากกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับก๊าซธรรมชาติที่ขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจ iCNG หรือธุรกิจขนส่งก๊าซธรรมชาติอัดสำหรับโรงงานอุตสาหกรรม ที่เติบโตแบบก้าวกระโดด หรืออยู่ที่ 52%
ขณะที่กำไรสุทธิในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2561 และ 2560 ใกล้เคียงกัน คือ 102.96 ล้านบาท และ 103.22 ล้านบาท ตามลำดับ ซึ่งมีปัจจัยจากต้นทุนจากการลงทุนใน 2 โครงการใหญที่มีมูลค่าสูง ได้แก่ โครงการรถเมล์ NGV 489 คัน และโรงไฟฟ้าพลังงานอาทิตย์ที่เมืองมินบู ประเทศเมียนมาร์ โดยเป็นการลงทุนที่จะสร้างรายได้ประจำและสม่ำเสมอในระยะยาว (Recurring Income) ให้แก่บริษัทฯ อย่างไรก็ตาม หากไม่นับรวมต้นทุนจากการลงทุนดังกล่าวแล้ว บริษัทฯ จะมีกำไรสุทธิรวมเพิ่มขึ้นอีก 32 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 31%
ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานครึ่งปีหลัง คาดว่าจะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีปัจจัยจากโครงการรถเมล์ NGV ที่มีความไปได้สูงที่จะมีการปลดล็อกคำสั่งได้ภายในไม่เกินสิ้นปีนี้ ซึ่งจะทำให้กลุ่มร่วมทำงาน SCN-CHO สามารถส่งมอบรถเมล์ลอตที่เหลืออีก 389 คันให้แก่ ขสมก. และจะส่งผลให้บริษัทฯ มีรายได้เติบโตเกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ในปีนี้ที่คาดว่าจะเติบโต 30%