ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งที่ 4/2564 ในสัปดาห์ที่ผ่านมามีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.50% ต่อปี ขณะเดียวกันก็ได้มีการปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทยลง จากเดิมที่คาดขยายตัว 3% เหลือ 1.8% ในปี 2564 และในปี 2565 คาดขยายตัว 3.9% จากเดิมที่คาดไว้ 4.7% นอกจากนี้ยังปรับลดจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้ลงเหลือ 7 แสนคน จากเดิมที่คาดไว้ 3 ล้านคน (ภาพที่ 1)
ที่ประชุม กนง. ยังกล่าวถึงตลาดแรงงานที่มีแนวโน้มฟื้นตัวช้ากว่าในอดีต โดยเฉพาะภาคการบริการและผู้ประกอบอาชีพอิสระ และคาดว่าการฟื้นตัวจะมีลักษณะเป็น W-shape ซึ่งโจทย์สำคัญของเศรษฐกิจไทยก็คือ การจัดหาและการกระจายวัคซีนให้เหมาะสมและเพียงพอต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดที่ยืดเยื้อและรุนแรงเพิ่มขึ้น (ภาพที่ 2)
ประธานาธิบดีสหรัฐฯนาย โจ ไบเดน ได้ประกาศการบรรลุข้อตกลงกับสภาคองเกรสในการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการจ้างงานในสหรัฐฯ โดยโครงการจะใช้งบประมาณวงเงิน 5.79 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ครอบคลุมถึงการสร้างถนน สะพาน ทางรถไฟ โครงสร้างพื้นฐานสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง
ซึ่งการลงทุนในครั้งนี้จะช่วยให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ สามารถเติบโตได้ดีในระยะข้างหน้า รวมถึงจะช่วยให้โครงสร้างพื้นฐานของสหรัฐฯมีความทันสมัยมากขึ้น ช่วยสร้างความสามารถในการเติบโตให้กับบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ
โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มนวัตกรรมรถยนต์ไฟฟ้า หุ้นในกลุ่มพลังงานหมุนเวียนและพลังงานสะอาด ที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากเม็ดเงินลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในครั้งนี้ เนื่องจากมีงบประมาณ 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ถูกจัดสรรในโครงการสาธารณูปโภคสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า รวมทั้งรถโดยสารไฟฟ้าและการขนส่งด้วยระบบไฟฟ้า และงบประมาณอีก 7.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับโครงการด้านพลังงาน เรามองเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นในกลุ่มพลังงานหมุนเวียนและพลังงานสะอาด ตามแนวโน้มความต้องการพลังงานที่ยั่งยืนในอนาคต (ภาพที่ 3)