BAM ลั่นไตรมาส 2 สดใส ชงบอร์ดตั้ง JV-โฮลดิ้งส์ โตระยะยาว

HoonSmart.com>> “BAM” มั่นใจปี 2564 รายได้เข้าเป้า ย้ำยอดเรียกเก็บที่ 1.74 หมื่นล้านบาท ไตรมาส 2 เตรียมรับรู้ผลเรียกเก็บ NPAs รายใหญ่ 2 ราย  ตั้งงบซื้อหนี้เท่าเดิม 9 พันลานบาท พร้อมปรับกลยุทธ์ใหม่สร้างรายได้-ยอดเรียกเก็บคงที่ เน้นเพิ่มลูกหนี้ปรับโครงสร้าง เป้าปีนี้ 3.5 พันราย ส่วนแผนตั้งบริษัท JV  บริษัทโฮลดิ้งส์ เตรียมเสนอบอร์ด เร่งนำระบบดิจิทัลมาใช้ ปิดจุดอ่อนกรมบังคับคดีปิด  

นายรฐนนท์ ฟูเกียรติ ผู้จัดการกลุ่มนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ (BAM) เปิดเผยว่า บริษัทยังคงเป้าหมายผลการเรียกเก็บของปี 2564 อยู่ที่ 17,452 ล้านบาท โดยในไตรมาส 1 สามารถทำได้ 2,966 ล้านบาท โดยมีเป้าหมายซื้อสินทรัพย์อยู่ที่ 9,000 ล้านบาท ทั้งการซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ (NPLs) และทรัพย์สินรอการขาย (NPAs) ซึ่งตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาถึงปัจจุบันซื้อไปแล้วกว่า 500 ล้านบาท

ส่วนในไตรมาส 2/2564 บริษัทคาดว่าผลการเรียกเก็บทั้ง NPLs และNPAs ยังเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ที่ 4,203 ล้านบาท โดยจะรับรู้ผลการขาย NPAs ที่มีมูลค่ามากกว่า 100 ล้านบาท ประมาณ 2 ราย และจะรับรู้ผลเรียกเก็บที่ล่าช้าจากไตรมาสก่อนเข้ามาในไตรมาสนี้อีกด้วย

อย่างไรก็ตามจากผลกระทบโควิด-19 ทำให้สถาบันการเงินปล่อยสินทรัพย์ออกมาสู่ระบบน้อยลง เนื่องจากยังคงรอดูมาตรการต่างๆจากทางภาครัฐ โดยในไตรมาสที่ 1 มี สินทรัพย์ออกมาประมาณ 6,500 ล้านบาท เทียบกัช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ประมาณ 10,000 ล้านบาท บริษัทคาดว่าช่วงครึ่งปีหลังจะมีออกมาเพิ่มขึ้น และบริษัทฯจะซื้อเพิ่มมากขึ้นในช่วงปลายปีนี้ จากปัจจุบันซื้อไปกว่า 500 ล้านบาท ส่วนการพิจารณาสินทรัพย์ที่จะซื้อ ต้องมีราคาและคุณภาพที่เหมาะสม เพื่อความสามารถในการทำกำไรที่ดี

“ในปี 2564 เราเชื่อว่ารายได้ยังสามารถทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ จากผลการเรียกเก็บที่ปัจจุบันยังเป็นไปตามเป้าหมาย ส่วนการซื้อหนี้ ปกติแล้วเราจะใช้เงินต้นทุนที่ลดลงจากปีก่อน ซึ่งในปีนี้อาจจะใช้เงินลงทุนไม่ซื้อหมด เนื่องจากยังต้องมีความระมัดระวังการซื้ออยู่ โดยต้องเลือกทรัพย์สินที่ดี ทั้งราคาและคุณภาพ เพื่อกำไรที่ดีในอนาคต” นายรฐนนท์ กล่าว

บริษัทยังมีกลยุทธ์ในการสร้างรายได้ในระยะยาว หรือผลการเรียกเก็บที่คงที่ โดยการเพิ่มลูกหนี้ที่ปรับโครงสร้าง หรือการเจรจาแก้หนี้กับทางลูกหนี้ เป้าหมายปี 2564 ตั้งไว้ที่ประมาณ 3,500 ราย ปัจจุบันเจรจาปรับโครงสร้างไปแล้วประมาณ 414 ราย

นอกจากนี้บริษัทมีแผนที่จะจัดตั้งบริษัทร่วมทุน และจัดตั้งบริษัทโฮลดิ้งส์ โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษา และนำเสนอต่อคณะผู้บริหารในการพิจารณาให้เหมาะสมที่สุด เพื่อสร้างการเติบโตที่ดี

สำหรับผลประกอบการในไตรมาส 1 บริษัทมีผลการเรียกเก็บอยู่ที่ 2,966 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมายเล็กน้อยที่ 3,157 ล้านบาท โดยมีกำไรจากเงินให้สินเชื่อจากการซื้อลูกหนี้อยู่ที่ 270 ล้านบาท ลดลง 77% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการปิดกรมบังคับคดีในบางสาขา จากผลกระทบของโควิด-19 ที่มีสัดส่วนรายได้ถึง 16-18% ของรายได้รวม ทำให้มีกำไรสุทธิ  247 ล้านบาท ลดลง 63% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

นายรฐนนท์ กล่าวทิ้งท้ายว่า การปิดกรมบังคับคดี ทำให้บริษัทค่อนข้างได้รับผลกระทบ เนื่องจากเป็นช่องทางในการบริหาร NPLs ทั้งการประนอมหนี้ การจ่ายหนี้ปิดจบ ถ้ามีต้นทุนที่ต่ำ บริษัทจะรับรู้เป็นรายได้ทันที และการบังคับขายสินทรัพย์เข้าตลาด แต่ทั้งนี้ด้วยการที่กรมบังคับคดี ปรับเปลี่ยนในการทำระบบในรูปแบบดิจิทัลมากขึ้น คาดว่าจะส่งผลดีต่อบริษัทในอนาคตมากขึ้น นอกจากนี้บริษัทเตรียมเริ่มทดลองโครงการ BAM-D เฟส 1 ในไตรมาส 4/2564 โดยการนำระบบดิจิทัล เข้ามาช่วยบริหารจัดการภายในองค์กรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2565