JCK ผนึก JCKH ลุยธุรกิจ “กัญชา-กัญชง” ครบวงจร

HoonSmart.com>>JCK ผนึก JCKH ลุยธุรกิจ “กัญชา-กัญชง” ครบวงจร เตรียมงัดที่ดิน 1,500 ไร่ จ่อปลูกไตรมาส 4 นี้ พร้อมทำโรงงานแปรรูป-คลังสินค้า ขณะที่มูลค่าตลาดรวมทั่วโลกโตแรง คาดแตะ 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2568

นายอภิชัย เตชะอุบล ในฐานะประธานกรรมการ บริษัท เจซีเค อินเตอร์เนชัลแนล หรือ JCK และ บริษัท เจซีเค ฮอสพิทอลลิตี้ หรือ JCKH เปิดเผยว่า HoonSmart.com>>JCKและJCKH ได้ข้อตกลงร่วมกันจะร่วมมือกันศึกษาและพัฒนาธุรกิจที่มีความเกี่ยวข้องกับกัญชาและกัญชง ภายหลังรัฐบาลประกาศให้กัญชาและกัญชงไม่จัดเป็นยาเสพติด

นับเป็นธุรกิจใหม่ที่กลุ่มบริษัทฯให้ความสำคัญ เนื่องจากเล็งเห็นว่าเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพการเติบโตสูงในอนาคต จากบทวิเคราะห์ในต่างประเทศระบุว่า มูลค่าตลาดทั่วโลกของพืชในสกุลกัญชา(Cannabis) จะเติบโตในอัตราเฉลี่ย 33%ต่อปี ไปจนถึงปี 2568 หรือจะมีมูลค่าตลาดรวมมากกว่า 100,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และหากเป็นไปเพื่อทางการแพทย์ทั่วโลกจะเติบโตเฉลี่ย 17.1%ต่อปี หรือจะมีมูลค่าตลาดรวมมากกว่า 55,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

ทำให้ JCK และ JCKH มุ่งให้ความสำคัญกับการศึกษาวิจัย และพัฒนาธุรกิจกัญชาและกัญชง อย่างครบวงจร รวมไปถึงการวิจัยทดสอบฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาและพิษวิทยา เพื่อพัฒนาให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ครอบคลุมทางด้านสุขภาพ ยา อาหาร อาหารเสริม เครื่องดื่ม เครื่องสำอาง นอกจากนี้ ในอนาคตมีแผนจะพัฒนาในกลายเป็นศูนย์บำบัดพักฟื้นเพื่อสร้างสุขภาพ(Wellness Clinic) รองรับผู้ป่วย ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่ต้องการการพักผ่อน เนื่องจากจะพัฒนาให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเพื่อการเรียนรู้อีกด้วย

“การผนึกกำลังระหว่าง JCKและJCKH นับเป็นความร่วมมือที่จะสร้างพลังทางธุรกิจ โดยจะอาศัยความแข็งแกร่งของแต่ละบริษัท โดยจะอาศัยที่ดินของJCKในฐานะที่เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านอสังหาริมทรัพย์ และอาศัยเครือข่ายสาขาของJCKH ที่มีกว่า 100 สาขา เพื่อทำหน้าที่กระจายและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ”

นายอภิชัย กล่าวว่า JCK ได้จัดเตรียมที่ดินราว 1,500 ไร่ ตั้งอยู่ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ(Speacial Economic Zone:SEZ) จังหวัดนครพนม เบื้องต้นเฟสแรกจัดสรร 500 ไร่ จัดทำแปลงเพาะปลูกด้วยเทคโนโลยีชีวภาพ(Biotech) เพื่อให้ได้ผลผลิตดีที่สุด รวมไปถึงการก่อสร้างโรงสกัดน้ำมันและสารที่ได้รับจากกัญชาและกัญชง โรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ และขณะนี้อยู่ระหว่างเร่งปรับสภาพหน้าดิน และพบว่าดินและแร่ธาตุเหมาะสมต่อการเพาะปลูก ควบคู่ไปกับการเร่งดำเนินการขออนุญาตจากภาครัฐ คาดว่าน่าจะเริ่มปลูกได้ในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2564 นี้

สำหรับพื้นที่ที่เหลือจะทยอยพัฒนาให้เป็นไปตามแผนที่ตั้งไว้ นอกจากจะจัดสรรพื้นที่เพาะปลูกแล้ว ยังเตรียมพัฒนาให้กลายเป็นศูนย์กระจายสินค้า คลังสินค้า ตลาดกลางเพื่อการเกษตร เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวอยู่ใกล้กับสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ทำให้มีความสะดวกต่อขนส่งระหว่างประเทศ ในการเชื่อมต่อไปยังสาธารณารัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว(สปป.ลาว) เวียดนามและประเทศจีน