วอร์แรนต์ตัวไหนน่าสน? คิดให้ดี ก่อนลุย…

HoonSmart.com>>ปี 2564 น่าจะปีที่บริษัทจดทะเบียนแจกใบสำคัญแสดงสิทธิในการซื้อหุ้น (วอร์แรนต์) ให้แก่ผู้ถือหุ้นมากปีหนึ่ง เมื่อเข้าซื้อขายในจังหวะตลาดเอื้ออำนวย และมีปัจจัยบวกหนุนพื้นฐาน ส่งผลให้ราคาวอร์แรนต์ของบริษัทหลายแห่งบวกราคาแปลงสภาพแล้ว สูงกว่าราคาหุ้นในตลาด ตามทฤษฎีถือว่า”แพง” หรือ”มีความเสี่ยงสูง” ดังนั้นนักลงทุนจะต้องศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนตัดสินใจซื้อ เพราะราคาวอร์แรนต์มีความผันผวนสูง ที่สำคัญยังมีวันหมดอายุ นั่นหมายความว่า เงินที่ลงทุนไปจะกลายเป็นศูนย์ทันที หากถือโดยไม่สามารถใช้สิทธิแปลงสภาพเป็นหุ้นภายในระยะเวลาที่กำหนดได้

สาเหตุที่มีวอร์แรนต์ออกใหม่จำนวนมาก เกิดจากสถานการณ์โลกได้เผชิญกับวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 มาตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา บริษัทจดทะเบียนทุกแห่ง ต้องเตรียม “กระสุน” ให้พร้อม เพิ่มทุนจดทะเบียนได้ ก็ต้องรีบทำ พร้อมๆ กับลดค่าใช้จ่าย ชะลอการลงทุน เพื่อเก็บกระแสเงินสดให้มากที่สุด เพราะไม่มีใครรู้ว่าสถานการณ์นี้จะลากยาวไปอีกนานแค่ไหน บริษัทหลายแห่งจึงตัดสินใจ “งดการจ่ายเงินปันผล” หันไป “แจกวอร์แรนต์” แทน ซึ่งได้ประโยชน์หลายเด้ง เริ่มจากการให้ผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้น และยังมีโอกาสเพิ่มทุนจดทะเบียนในอนาคต หากผู้ถือวอร์แรนต์มาแปลงสภาพเป็นหุ้น เพิ่มความแข็งแกร่งของเงินกองทุน สามารถนำไปเป็นฐานในการยื่นขอสินเชื่อ เพื่อขยายธุรกิจในระยะยาว

ผู้ถือหุ้นที่ได้วอร์แรนต์มาฟรีๆ ไม่มีต้นทุน หากมั่นใจในอนาคตของบริษัท ก็ไม่จำเป็นต้องรีบขายในวันแรกของการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ สามารถถือเพื่อใช้สิทธิแปลงเป็นหุ้น ในราคาต่ำ ภายในระยะเวลาที่กำหนด

สำหรับนักลงทุนที่จะเข้าไปซื้อเก็งกำไร จากราคาขึ้น-ลงแรง  อย่ามัวฝันหวานว่าจะได้กำไรสูงๆ เพราะหากหนีไม่ทันจะเจ็บตัวหนัก

จากสถิติที่ผ่านมา ไม่ใช่ว่า “วอร์แรนต์” ทุกตัว ทุกรุ่น จะสามารถแปลงสภาพเป็นหุ้นได้ ถ้าหากจะเข้าไปลุย ต้องทำกาารบ้านให้ดี  ไม่เพียงพอ หากรู้เฉพาะข้อมูลเบื้องต้น เรื่องของอายุวอร์แรนต์ ราคาแปลงสภาพ วันที่เปิดใช้สิทธิเท่านั้น ต้องมองอนาคตของกิจการให้ออกว่าจะมีกำไรที่ดีขึ้นอย่างไรบ้าง เพราะจะเป็นตัวกำหนดมูลค่าของวอร์แรนต์และราคาหุ้นในอนาคต

ปัจจุบันมีวอร์แรนต์ประมาณ 10 บริษัท เพิ่งเข้ามาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ โดยมีจำนวน 6 บริษัท ที่ราคาวอร์แรนต์บวกราคาแปลงสภาพแล้ว สูงกว่าราคาหุ้นสามัญ ณ วันที่ 29 พ.ค. 2564 ได้แก่ SNP-W2,ZIGA-W1,PIMO-W2,SONIC -W1,VL-W1และ AIE-W2 ส่วนหนึ่งเกิดจากราคาหุ้นแม่ปรับตัวขึ้นแรงตามกำไรสุทธิในไตรมาสที่ 1/2564 และแนวโน้มการเติบโตที่ดีจากโมเดลธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป

อย่างไรก็ตาม มีวอร์แรนต์ของบางบริษัท เช่น บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) ชุดที่ 8 และ ชุดที่ 9 (MINT-W8,MINT-W9) เพิ่งเข้าซื้อขายในวันที่ 29 พ.ค. ที่ผ่านมา ราคาปิดที่ 4.98 บาท และ 5.70 บาทตามลำดับ ถือว่ายังไม่น่าสนใจ นักลงทุนน่าจะเลือกซื้อหุ้นแม่ที่ระดับ 31.50 บาท คุ้มค่ากว่าสำหรับปัจจุบัน

นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองเห็นอนาคตที่ดีของ MINT คาดว่าราคาหุ้นจะมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้เร็ว เพราะธุรกิจโรงแรมในยุโรปจะฟื้นกลับมาได้ หลังจากทยอยเปิดเมืองเปิดเศรษฐกิจในหลายประเทศ

ฝ่ายวิจัยของบล.เอเซียพลัส แนะนำซื้อ MINT ตีมูลค่า 34 บาท แนวโน้มขาดทุนลดลงในช่วงครึ่งปีหลัง จากวัคซีนกระจายครอบคลุมประชากรในยุโรปมากขึ้น เอื้อธุรกิจ NH Hotel ที่ฐานลูกค้าเป็น Domestic ราว 70% – 75% และบริษัทเตรียมการหมุนสินทรัพย์หรือ Asset rotation ผ่านสินทรัพย์ของ NH Hotel ช่วงไตรมาส 2-3 นี้ เชื่อว่าจะได้รับเงินสดสุทธิอย่างน้อย 200 ล้านยูโร ช่วยเสริมสถานะการเงินของ NH Hotel แข็งแกร่งขึ้น

นอกจากนี้ราคาหุ้นยังปรับตัวขึ้นน้อยกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ตั้งแต่เดือนเม.ย.จนถึงวันที่ 27 พ.ค.2564 ลดลง 1.6% มากกว่าดัชนีที่ปรับตัวลง 0.2% ถือว่าตอบรับปัจจัยลบมากพอสมควร

สอดคล้องกับ “ชัยพัฒน์ ไพฑูรย์” ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาเชิงกลยุทธ์ MINT เคยกล่าวว่า บริษัทมีสภาพคล่องเหลือเลี้ยงตัวได้ 1-2 ปี  โดยมีเงินสดในมือ 2.1 หมื่นล้านบาท วงเงินสินเชื่อแบงก์อีก 2 หมื่นล้านบาท รวมถึงยังมีการแปลงสภาพวอแรนต์ชุดที่ 7-9 ในช่วง 3 ปีข้างหน้า ที่ราคาหุ้นละ 21.60 บาท 28 บาท และ 31 บาท คาดว่าจะมีทุนเข้ามาจำนวน  1.5 หมื่นล้านบาท สะท้อนถึงความมั่นใจว่าราคาหุ้นจะต้องขึ้นไปสูงกว่าปัจจุบันที่ 31.50 บาทอย่างแน่นอน