EPG งบปี63/64 มีกำไรสุทธิ 1,221 ลบ.โต 22% เตรียมขอผถห.จ่ายปันผล 0.19 บาทต่อหุ้น

HoonSmart.com>>EPG โชว์ผลประกอบการปีบัญชี 63/64 มีรายได้ 9,569.2 ล้านบาท ลดลง 6.3% แต่กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 22% ผลจากต้นทุนขายลดลง และควบคุมค่าใช้จ่ายในการขาย เตรียมจ่ายเงินปันผล 0.19 บาทต่อหุ้น เสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น 23 ก.ค. นี้

รศ.ดร.เฉลียว วิทูรปกรณ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป หรือ EPG ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์โพลีเมอร์และพลาสติกแปรรูปชั้นนำของโลก เปิดเผยว่าผลการดำเนินงานปีบัญชี 63/64 (1 เม.ย.63 – 31 มี.ค.64) บริษัทมีรายได้จากการขายทั้งสิ้น 9,569.2 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่มีรายได้จากการขายอยู่ที่ 10,217.4 ล้านบาท จำนวน 648.2 ล้านบาท หรือ ลดลง 6.3% มีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 31.2% สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ และมีกำไรสุทธิ 1,221.2 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ อยู่ที่ 999.3 ล้านบาท จำนวน 221.9 ล้านบาท หรือ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 22.2% โดยสัดส่วนรายได้ แบ่งเป็น AEROKLAS 46.7% AEROFLEX 27.5% และ EPP 25.8% เป็นผลมาจากการดำเนินงานของ 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ดังนี้

ธุรกิจฉนวนกันความร้อน/เย็น ภายใต้แบรนด์ Aeroflex มีรายได้จากการขายรวม 2,626 ล้านบาท ลดลง 12.8% จากปีก่อน ผลจากยอดขายในประเทศยังเติบโตช้า อีกทั้งมีความล่าช้าจากการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ

ธุรกิจชิ้นส่วนอุปกรณ์และตกแต่งยานยนต์ภายใต้แบรนด์ Aeroklas มีรายได้จากการขายรวม 4,471.4 ล้านบาท หรือลดลง 5.4% จากปีก่อน ผลจากกลุ่มลูกค้า OEM ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์หลายแห่งในประเทศหยุดการผลิตชั่วคราวตั้งแต่สิ้นเดือนมี.ค. ถึง พ.ค. 63

ธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติก ภายใต้แบรนด์ EPP มีรายได้จากการขายรวม 2,471.9 ล้านบาท หรือลดลง 0.3% จากปีก่อน ขณะที่บริษัทได้รับประโยชน์จากยอดขายของบรรจุภัณฑ์พลาสติกประเภทกล่องใส่อาหาร ซึ่งปรับตัวดีขึ้นจากความต้องการของผู้บริโภคในยุควิถีใหม่ (New Normal) ที่นิยมสั่งอาหารแบบจัดส่งถึงที่ (Delivery)

ในปีบัญชีนี้บริษัทมีรายได้อื่นที่ 158.5 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่มาจากมาตรการช่วยเหลือทางการเงินของรัฐบาลต่างประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา และ ออสเตรเลีย ซึ่งบริษัทย่อยตั้งอยู่ ภายใต้โครงการสนับสนุนการจ้างงานของกิจการ (Jobs Keeper Program)ในช่วงการแพร่ระบาดของโรค COVID-19

บริษัทมีต้นทุนขายสินค้าลดลง 9.1% จากปีก่อน โดยได้รับผลประโยชน์จากราคาวัตถุดิบที่ปรับตัวลดลง และการบริหารจัดการให้ต้นทุนในการผลิตลดลง มีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลดลง 6% จากปีก่อน ซึ่งบริษัทยังคงให้ความสำคัญกับการควบคุมการบริหารค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้บริษัทมีส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมและการร่วมค้า 92.6 ล้านบาท ลดลง 27% เนื่องจากบริษัทได้รับส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมและการร่วมค้า ในไตรมาสแรกของปีบัญชี 63/64 (1 เม.ย. – 30 มิ.ย.63) จากการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 อย่างไรก็ตาม ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมและการร่วมค้าฟื้นตัวต่อเนื่องภายในปีบัญชีจากการดำเนินงานที่ดีขึ้น

รศ.ดร.เฉลียว กล่าวต่อว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติให้เสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 64 เพื่อขออนุมัติการจ่ายเงินปันผลประจำปีให้กับผู้ถือหุ้นของบริษัท ในอัตราหุ้นละ 0.19 บาท (สิบเก้าสตางค์) รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 532 ล้านบาท ซึ่งกำหนดให้มีการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นปี 64 ในวันที่ 23 ก.ค. 64 และหากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นฯ มีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผล จะกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่จะมีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date)ในวันที่ 4 ส.ค. 64 และกำหนดจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นภายในวันที่ 20 ส.ค. 64

“ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 9 ธ.ค.63 บริษัท ได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลให้กับผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 0.09 บาท หากรวมกับการปันผลในครั้งนี้อีก 0.19 บาทต่อหุ้น จะทำให้บริษัทมีการจ่ายเงินปันผลรวม 0.28 บาทต่อหุ้น” รศ.ดร.เฉลียว กล่าว