MTC อวดกำไรไตรมาส 2/61 พุ่งแรง 59.72% ทุบสิถิตสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง จากความต้องการสินเชื่อเพิ่มขึ้นดันยอดปล่อยใหม่ครึ่งปี 3.6 หมื่นล้านบาท มั่นใจทั้งปีปล่อยสินเชื่อไม่ต่ำกว่า 8 หมื่นล้านบาท ประเมินครึ่งปีหลังรายได้และกำไรยังครองสถิติทำนิวไฮใหม่ได้อีก
นายชูชาติ เพ็ชรอำไพ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล (MTC) เปิดเผยว่าภาพรวมผลการดำเนินงานไตรมาส 2/61 มีกำไรสุทธิรวม 912 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 59.72 % จากงวดเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสุทธิรวมอยู่ที่ 571 ล้านบาท ขณะที่งวดครึ่งปีแรกของปี 61 มีกำไรสุทธิรวม 1,746 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57.72% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิรวมอยู่ที่ 1,107 ล้านบาท
ผลประกอบที่เติบโตเพิ่มขึ้น เนื่องจากยอดปล่อยสินเชื่อใหม่ ยังเติบโตในทิศทางที่ดีขึ้น โดยไตรมาส 2/61 อยู่ที่ 19,745 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40.02% ซึ่งความต้องการสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นทั้งสินเชื่อส่วนบุคคล และนาโนไฟแนนซ์ ทำให้มั่นใจว่า ยอดปล่อยสินเชื่อใหม่รวมทั้งปีนี้จะไม่ต่ำกว่า 80,000 ล้านบาท ขณะที่ภาพรวมของพอร์ตสินเชื่อรวมครึ่งปีแรกอยู่ที่ 41,469 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 41.50% จากงวดเดียวกันของปีก่อน
รวมทั้งการที่บริษัทมีจำนวนสาขามากขึ้น โดยในครึ่งปีแรกมีสาขารวมทั้งสิ้น 2,889 สาขา และคาดว่าทั้งปีบริษัทฯจะมีจำนวนสาขาแตะ 3,000 สาขา ตามเป้าหมายที่วางไว้
ขณะที่ภาพรวมการดำเนินธุรกิจช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่าเป้าหมายรายได้และกำไรสุทธิในปีนี้ จะทำสถิติใหม่สูงสุดต่อเนื่อง โดยรายได้คาดว่าจะอยู่ที่ 10,000 ล้านบาท และกำไรสุทธิ จะทำสถิตใหม่สูงสุด จากปีก่อนที่ทำได้ 2.5 พันล้านบาท
“สถานการณ์ครึ่งปีหลังน่าจะดีกว่าครึ่งปีแรก เพราะเป็นช่วงที่มีเทศกาลค่อนข้างมาก และเป็นช่วงเปิดเทอม จึงทำให้มีความต้องการสินเชื่อค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก ทั้งนี้สัดส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในปีนี้บริษัทจะควบคุมไม่ให้เกิน 1.5%” นายชูชาติกล่าว
กรณีภาครัฐเตรียมออก พ.ร.บ.กำกับดูแลผู้ให้บริการทางการเงิน ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ซึ่งได้สรุปการรับฟังความคิดเห็นร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าว จากภาคส่วนต่างๆ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งทุกฝ่ายเห็นพ้องกับร่างกฎหมายดังกล่าว โดยกระทรวงการคลังจะเสนอให้คณะรัฐมนตรีเห็นชอบ เพื่อส่งให้สภานิติบัญญัติ (สนช.)พิจารณาบังคับใช้เป็นกฎหมายต่อไป อย่างไรก็ตาม MTC พร้อมที่จะให้ความร่วมมือ และปฏิบัติตามภายใต้ พรบ.ใหม่อย่างโปร่งใส ถูกต้องและยุติธรรม